ไฮเปอร์แต่เด็กยันแก่ (ตอนที่ 1)

ไฮเปอร์แต่เด็กยันแก่-1

น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โรคจิตเวชที่ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็กวัยเรียนนั้น พบว่า กลุ่มเด็กนักเรียนอายุ 6-15 ปี ที่มีปัญหาการเรียน ผลการเรียนไม่ดี หรือเรียนไม่ทันเพื่อน มักจะพบมีโรคทางจิตเวชแอบแฝงที่พบบ่อยที่สุดมี 4 โรค ได้แก่ โรคออทิสติก โรคสมาธิสั้น โรคแอลดีหรือภาวะบกพร่องในการเรียนรู้ และสติปัญญาบกพร่อง โดยเกิดมาจากกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก

โดยเด็กที่เป็นออทิสติกและสติปัญญาบกพร่องจะตรวจพบพัฒนาการที่ผิดปกติได้เร็วตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนเด็กที่มีลักษณะของโรคแอลดีนั้น เด็กกลุ่มนี้ไม่มีปัญหาเรื่องไอคิว แต่มีความผิดปกติทางการอ่านเขียนคำนวณต่ำกว่าเด็กวัยเดียวกัน 2 ชั้นปี ควรได้รับการติดตามช่วยเหลือ

สำหรับโรคสมาธิสั้นเป็นโรคที่พบได้มากและมีผลกระทบกับคนรอบข้างได้บ่อยที่สุด โดยผลสำรวจของกรมสุขภาพจิต ปี 2559 พบร้อยละ 5.4 คาดว่ามีเด็กอายุ 6-15 ปี ซึ่งทั่วประเทศมี 7 ล้านกว่าคน เป็นโรคนี้ประมาณ 420,000 คน หรือพบได้ 2-3 คนต่อห้องเรียนที่มีเด็ก 40-50 คน มักพบในเด็กชายมากกว่าหญิง

น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวว่า โรคสมาธิสั้นเด็กจะมีอาการแสดงหลักๆ 3 ด้าน ได้แก่ ซนอยู่ไม่นิ่ง ขาดสมาธิ และหุนหันพลันแล่น ประชาชนมักนิยมเรียกว่าโรคไฮเปอร์ โดยเด็กจะวอกแวก ทำงานตกๆ หล่นๆ ทำอุปกรณ์การเรียนหายประจำ ซุ่มซ่าม ใจร้อน วู่วาม อาการดังกล่าวเกิดมาจากสมองทำงานผิดปกติ ซึ่งผู้ปกครองมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กดื้อหรือเป็นเด็กที่ไม่มีความรับผิดชอบ โดยจะพบความผิดปกติชัดเจนขึ้นเมื่ออยู่ชั้นประถมศีกษา

ดังนั้น หากผู้ปกครองและครูไม่เข้าใจ จะยิ่งทำให้เด็กเกิดปัญหาอารมณ์และพฤติกรรมอาจส่งผลถึงอนาคต เช่น ความเสี่ยงติดสารเสพติด ก่ออาชญากรรม เป็นต้น แต่หากเด็กได้รับการดูแลที่เหมาะสมก็จะสามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติ และมีอาชีพได้ อย่างไรก็ตาม เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นเมื่อได้รับการบำบัดรักษาแล้วประมาณ 2 ใน 3 อาการจะหายหรือดีขึ้น

น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวอีกว่า การแก้ไขและส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กวัยเรียนอย่างเต็มศักยภาพ กรมสุขภาพจิตได้จัดระบบเฝ้าระวังไอคิว อีคิว และค้นหาเด็กชั้นประถมศึกษาที่ป่วยเป็นโรคทางจิตเวชแอบแฝง เชื่อมโยงระหว่างโรงเรียนโรงพยาบาลในพื้นที่และครอบครัว เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลรักษาเร็วที่สุด ซึ่งขณะนี้ดำเนินการครอบคลุมทุกอำเภอ

โดยครูประจำชั้นสามารถตรวจคัดกรองเด็กที่มีผลการเรียนต่ำ ตามแบบคัดกรองอย่างง่ายที่กรมสุขภาพจิตพัฒนาขึ้น ซึ่งผลการตรวจที่ผ่านมาพบมีเด็กที่มีอาการใกล้เคียงและเป็นกลุ่มเสี่ยงร้อยละ 30 หลังจากได้รับการดูแลช่วยเหลือจากครูแล้ว เด็กร้อยละ 20 เรียนรู้ดีขึ้น มีร้อยละ10 จำเป็นต้องพบจิตแพทย์ตรวจรักษา ซึ่งทำให้เด็กป่วยเข้าถึงบริการดีขึ้น

ด้าน นพ.สมัย ศิริทองถาวร รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เรื่องที่น่าห่วงมากขณะนี้พบว่าเด็กเล็กทั่วไปที่ปกติ เป็นโรคไฮเปอร์เทียมกันมากขึ้น กล่าวคือ มีอาการคล้ายโรคไฮเปอร์ แต่ยังไม่ถึงขั้นป่วย

สาเหตุสำคัญเกิดมาจากพ่อแม่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เลี้ยงดูลูกแบบตามใจ หรือปล่อยปละละเลย ให้เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ เล่นหรือดูเกมในแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟน เพราะเห็นเหมือนว่าเด็กจะนิ่ง ไม่ซุกซน ไม่กวนใจพ่อแม่

แหล่งข้อมูล:

  1. พบเด็กเล็กเป็นโรค “ไฮเปอร์เทียม” มากขึ้น เหตุให้ลูกเล่นแท็บเล็ต-มือถือ. http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9600000054175 [2017, August 5].