ไอโอดีนเพื่อลูก (ตอนที่ 1)

ไอโอดีนเพื่อลูก-1

      

      นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานรณรงค์วันไอโอดีนแห่งชาติ 2561 "สานพลังเมืองนักปราชญ์ เสริมพลังสร้างชาติด้วยไอโอดีน” เพื่อมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตหญิงวัยเจริญพันธุ์ หญิงตั้งครรภ์ เด็กแรกเกิด เด็กปฐมวัย เด็กวัยเรียน และประชาชนทุกกลุ่มวัย โดยบูรณาการผ่านคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ 25 อำเภอ ในจังหวัดอุบลราชธานี ว่า

      ภายใต้นโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2560-2569) ว่าด้วยการส่งเสริมการเกิดและการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยดำเนินโครงการสาวไทยแก้มแดง ส่งเสริมหญิงวัยเจริญพันธุ์ให้ได้รับสารไอโอดีน ธาตุเหล็ก และโฟเลทอย่างเพียงพอ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ในอนาคต

      ตลอดจนดูแลสุขภาพและภาวะโภชนาการตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงเด็กอายุ 2 ปี เป็นอย่างน้อย ตามแนวทางการขับเคลื่อนมหัศจรรย์ 1,000 แรกของชีวิต เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ลูกเกิดรอด แม่ปลอดภัย เด็กเจริญเติบโตสมวัย สติปัญญาดี

      โดยไอโอดีนเป็นสารอาหารที่เป็นต้นทุนทางสติปัญญาของทารกแรกเกิดที่สำคัญมากตัวหนึ่ง เนื่องจากการขาดสารไอโอดีนจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาสมองของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จนถึงแรกเกิด 0 - 2 ปี ซึ่งเป็นโอกาสทองของการพัฒนาสติปัญญาและไอคิวของเด็กไทย

      นายแพทย์วชิระ กล่าวต่อไปว่า ปกติแล้วเด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ต้องการไอโอดีนประมาณวันละ 150 ไมโครกรัม ส่วนหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรต้องการประมาณวันละ 250 ไมโครกรัม เนื่องจากใช้ในการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตของลูก

      ซึ่งหญิงตั้งครรภ์ที่ขาดสารไอโอดีนในจะแสดงผลร้ายอย่างชัดเจนต่อทารก อาจจะมีความเสี่ยงต่อการแท้งหรือในบางรายอาจมีการพิการแต่กำเนิด เช่น หูหนวก ขาแข็ง กระตุก ตาเหล่ รูปร่างแคระแกร็น เติบโตช้า เรียนรู้ช้า เฉื่อยชา ไอคิวต่ำกว่าปกติ 10-15 จุด หรือสติปัญญาเสื่อมจนถึงปัญญาอ่อนที่เรียกว่าเป็นเอ๋อ

      ส่วนผู้ใหญ่ที่ขาดสารไอโอดีนนั้นจะส่งผล ให้เกิดภาวะไทรอยด์ต่ำ อ่อนเพลีย เฉื่อยชา ประสิทธิภาพการทำงานทุกระบบลดลง

      ทางด้าน นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า จากสถานการณ์การเฝ้าระวังภาวะขาดสารไอโอดีนของจังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างปี 2558 - 2560 โดยใช้ระดับไอโอดีนในปัสสาวะของหญิงตั้งครรภ์เป็นตัวชี้วัดคือ 126.2 , 102 และ 154.3 (เกณฑ์มากกว่า 150 ไมโครกรัม/ลิตร) พบว่ามีแนวโน้มดีขึ้น

      ครัวเรือนมีการบริโภคเกลือเสริมไอโอดีน คิดเป็นร้อยละ 68.2 , 79.8 และ 88.5 (เกณฑ์มากกว่าร้อยละ 90) ส่วนภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนในเด็กแรกเกิด ร้อยละ 11.5, 12.5 และ 9.6 (เกณฑ์น้อยกว่า 3) ถือว่ากลุ่มนี้ยังมีภาวะขาดสารไอโอดีน

      สำหรับกลุ่มเด็ก 3-5 ปี การสุ่มตรวจปัสสาวะทุก 2 ปี พบว่าไม่ขาดสารไอโอดีน แต่สิ่งที่ยากในการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีนคือความยั่งยืน เพราะแม้จะดำเนินการสำเร็จแต่ปัญหาอาจกลับมาอีกหากไม่มีการดำเนินงานที่เข้มข้นและต่อเนื่อง

แหล่งข้อมูล:

  1. กรมอนามัยชี้‘สารไอโอดีน’ต้นทุนทางปัญญาเด็กทารกแรกเกิด ร่วมขับเคลื่อนรณรงค์กับพ่อเมืองอุบลฯ.https://www.anamai.moph.go.th/ewt_news.php?nid=12209&filename=index [2018, Aug 20].