ไลนากลิปติน (Linagliptin)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

ยาไลนากลิปติน (Linagliptin) เป็นยาในกลุ่ม ไดเพปทิดิลเพปทิเดส-4 อินฮิบิเตอร์ (Dipeptidyl peptidase-4 inhibitor ย่อว่า DPP-4 Inhibitor; กลุ่มยาที่ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำ) ทางคลินิกนำมาใช้รักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2 รูปแบบยาแผนปัจจุบันของยานี้จะเป็นยาชนิดรับประทาน ตัวยาสามารถถูกดูดซึมจากระบบทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือดเพียงประมาณ 30% และจะรวมตัวกับพลาสมาโปรตีนในกระแสเลือดได้ประมาณ 75%-99% ก่อนที่จะถูกขับทิ้งไปกับปัสสาวะ การใช้ยานี้ให้ได้ประสิทธิภาพ ผู้ป่วยต้องควบคุมอาหารร่วมด้วย ทั้งนี้ในการรักษา สามารถใช้ยาไลนากลิปตินในลักษณะยาเดี่ยว หรือจะใช้ร่วมกับยารักษาโรคเบาหวานตัวอื่นก็ได้

กลไกการออกฤทธิ์หลักของยาไลนากลิปติน คือตัวยาจะไปลดระดับฮอร์โมนที่มีชื่อว่ากลูคากอน (Glucagon)จากตับอ่อน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่คอยทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเพิ่มสูงขึ้น อีกด้านหนึ่งตัวยานี้ยังจะคอยเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อนเช่นกันที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายใช้น้ำตาลในเลือดได้มากยิ่งขึ้น

โดยทั่วไป ผู้ป่วยเบาหวาน จะใช้ยาไลนากลิปติน เพียงวันละ 1 ครั้งก็สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ทั้งวัน อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดของการใช้ยาไลนากลิปตินที่ผู้บริโภค/ผู้ป่วยควรทราบ เช่น

  • ห้ามใช้กับผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1
  • ห้ามใช้กับผู้ที่มีระดับสารคีโตน(Ketone, สารเคมีปลายทางที่เกิดจากการสลายไขมันให้เป็นน้ำตาล)ในเลือดสูง
  • ห้ามใช้กับผู้ที่มีประวัติแพ้ยานี้
  • ในการตรวจ/รักษา ต้องแจ้ง แพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทุกครั้งว่ามีการใช้ยาอะไรอยู่ก่อน อย่างเช่นยา Rifampin
  • ระวังการใช้ยานี้กับผู้ที่มีประวัติตับอ่อนอักเสบ

หากใช้ยาไลนากลิปตินอย่างถูกต้องตามแพทย์สั่ง ยานี้มักจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอาจเกิดขึ้นได้ เมื่อมีการใช้ยาไลนากลิปตินร่วมกับยารักษาเบาหวานชนิดอื่นๆ เช่น ยา Insulin หรือ Sulfonylureas โดยภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการ อ่อนเพลีย วิงเวียน ง่วงนอน เป็นลม วิตกกังวล เหงื่อออกมาก นอกจากนี้ยังอาจทำให้ หัวใจเต้นเร็วขึ้น ทำให้เกิดอาการตาพร่า ปวดศีรษะ หนาวสั่น หรือทำให้รู้สึกหิวอาหาร เพื่อรักษาอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ ในเบื้องต้น ผู้ป่วยควรดื่มหรือกินอาหารที่เป็นแหล่งน้ำตาลโดยเร็ว เช่น น้ำตาล น้ำผึ้ง ขนมหวาน น้ำส้ม ก็จะช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างรวดเร็ว

อนึ่ง ที่สำคัญ การจะใช้ยาไลนากลิปตินได้อย่างปลอดภัย และเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายบุคคล จะต้องเป็นไปตามคำสั่งของแพทย์ผู้รักษาแต่เพียงผู้เดียว

ไลนากลิปตินมีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?

ไลนากลิปติน

ยาไลนากลิปตินมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ คือ

  • ใช้รักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2

ไลนากลิปตินมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?

กลไกการออกฤทธิ์ของยาไลนากลิปตินคือ ตัวยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนกลูคากอนจากตับอ่อน ส่งผลลดการผลิตน้ำตาลในตับ และยังกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลินจากตับอ่อนเช่นกัน ซึ่งกลไกทั้งหมดดังกล่าว ทำให้น้ำตาลในเลือดลดต่ำลง จนเป็นเหตุให้เกิดฤทธิ์รักษาตามสรรพคุณ

ไลนากลิปตินมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?

ยาไลนากลิปตินมีรูปแบบการจัดจำหน่าย เช่น

  • ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 5 มิลลิกรัม/เม็ด
  • ยาเม็ดชนิดรับประทานที่ผสมร่วมกับยารักษาเบาหวานชนิดอื่น เช่น Linagliptin 2.5 มิลลิกรัม + Metformin 500 มิลลิกรัม/เม็ด, และ Linagliptin 2.5 มิลลิกรัม + Metformin 1,000 มิลลิกรัม / เม็ด

ไลนากลิปตินมีขนาดรับประทานอย่างไร?

ยาไลนากลิปตินมีขนาดรับประทาน เช่น

  • ผู้ใหญ่: รับประทาน 5 มิลลิกรัม วันละ 1 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหารก็ได้
  • เด็ก: ยังไม่มีข้อมูลทางคลินิก ถึงการใช้ยานี้กับผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นเด็ก การใช้ยานี้ในเด็ก จึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นกรณีๆไป

*อนึ่ง: ไม่ต้องปรับขนาดรับประทานยานี้ในผู้สูงอายุ หรือในผู้ป่วยด้วย โรคตับ โรคไต

*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสม ควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาไลนากลิปติน ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกร ดังนี้

  • ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
  • มีโรคประจำตัวต่างๆ อย่างเช่น ตับอ่อนอักเสบ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยา หรืออาหารเสริมอะไรอยู่ เพราะยาไลนากลิปตินอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆและ/หรือกับอาหารเสริมที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
  • หากเป็นสุภาพสตรี ควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนม หรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้

หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?

หากลืมรับประทานยาไลนากลิปติน สามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดรับประทานเป็น 2เท่า

แต่อย่างไรก็ดี เพื่อประสิทธิผลของการรักษา ควรรับประทานยาไลนากลิปติน ตรงเวลา

ไลนากลิปตินมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?

ยาไลนากลิปตินสามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์(ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง)ต่อร่างกาย เช่น เยื่อจมูกอักเสบ คออักเสบ ไอ เกิดภาวะตับอ่อนอักเสบ

มีข้อควรระวังการใช้ไลนากลิปตินอย่างไร?

มีข้อควรระวังการใช้ยาไลนากลิปติน เช่น

  • ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้
  • ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทมีเลือดเป็นกรด(Diabetic ketoacidosis)
  • ห้ามนำยานี้ไปรักษาผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 1
  • ห้ามปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง
  • ระวังการใช้ยานี้กับ เด็ก สตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร และผู้สูงอายุ ด้วยยานี้ยังไม่มีการศึกษาทางคลินิกที่แน่ชัดกับผู้ป่วยกลุ่มนี้
  • หยุดการใช้ยานี้ทันทีหากผู้ป่วยมีอาการตับอ่อนอักเสบ แล้วรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลโดยเร็ว โดยไม่ต้องรอถึงวันนัด
  • ปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ พยาบาล เภสัชกร อย่างเคร่งครัด และมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามนัดทุกครั้ง
  • ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
  • ห้ามใช้ยาหมดอายุ
  • ห้ามเก็บยาหมดอายุ

***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา”ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาไลนากลิปตินด้วย) ยาแผนโบราณทุกชนิด อาหารเสริม และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้ง ควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ

ไลนากลิปตินมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?

ยาไลนากลิปตินมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น

  • การใช้ยาไลนากลิปตินร่วมกับยา Pseudoephedrine จะรบกวนประสิทธิภาพของยาไลนากลิปติน และทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น หากจำเป็นต้องใช้ร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดรับประทานให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
  • การใช้ยาไลนากลิปตินร่วมกับยา Gatifloxacin อาจก่อให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือไม่ก็สูง กรณีที่เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ผู้ป่วยบางรายอาจช็อก หมดสติ จนอาจถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นหากไม่มีความจำเป็นใดๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน
  • การใช้ยาไลนากลิปตินร่วมกับยา Bexarotene (ยารักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง) อาจทำให้เกิดภาวะตับอ่อนอักเสบ หากต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมเป็นรายบุคคลไป
  • การใช้ยาไลนากลิปตินร่วมกับยา Diazoxide จะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาของยาไลนากลิปตินด้อยลงไป หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดการใช้ยา และคอยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติอย่างสม่ำเสมอ

ควรเก็บรักษาไลนากลิปตินอย่างไร?

ควรเก็บยาไลนากลิปตินในช่วงอุณหภูมิ 20- 25 องศาเซลเซียส(Celsius) ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด ความร้อนและความชื้น และไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือรถยนต์

ไลนากลิปตินมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?

ยาไลนากลิปตินที่จำหน่ายในประเทศไทย มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย เช่น

ชื่อการค้าบริษัทผู้ผลิต
Trajenta Duo (ทราเจนตา ดูโอ)Boehringer Ingelheim
Trajenta (ทราเจนตา)Boehringer Ingelheim

บรรณานุกรม

  1. http://en.wikipedia.org/wiki/Dipeptidyl_peptidase-4_inhibitor [2016,Sept24]
  2. https://en.wikipedia.org/wiki/Linagliptin [2016,Sept24]
  3. https://www.drugs.com/ppa/linagliptin.html [2016,Sept24]
  4. http://www.mims.com/thailand/drug/info/trajenta/?type=full#Indications [2016,Sept24]
  5. http://www.mims.com/thailand/drug/info/trajenta/?type=brief [2016,Sept24]