โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคซีโอพีดี (COPD, Chronic obstructive pulmonary disease)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือ โรคซีโอพีดี (Chronic obstructive pulmonary disease, COPD) คือ โรคปอดชนิดเรื้อรังที่ผู้ป่วยจะมีพยาธิสภาพของถุงลมโป่งพอง (Emphysema) และ/หรือหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (Chronic bronchitis) เกิดร่วมกัน อาการหลักคือไอ มีเสมหะ หรืออาการหายใจเหนื่อยที่ค่อยๆเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ

สาเหตุหลักของโรคเกิดจากการสูบบุหรี่ การรักษาคือการหยุดสาเหตุ และรักษาแบบประคับประคองตามอาการ ซึ่งจะไม่ได้ทำให้พยาธิสภาพของโรคหายไป เพียงแค่หยุดการดำเนินของโรค/การลุกลามของโรค และทำให้อาการดีขึ้น

โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เป็นโรคที่พบได้บ่อย และเป็นสาเหตุลำดับต้นๆ ของการเสียชีวิตในประชากรทั่วโลก โดยในประเทศสหรัฐอเมริกา พบเป็นลำดับที่ 4 ของสาเหตุการเสียชีวิตของประชากร สำหรับในประเทศไทยเองก็พบอยู่ในสิบลำดับแรกของสาเหตุการเสียชีวิต โดยเฉลี่ยพบผู้ป่วยได้ประมาณ 2.7-10% ของประชากร

โรคนี้เป็นโรคที่พบในผู้สูงอายุ ผู้ป่วยส่วนใหญ่อายุมากกว่า 60 ปี ผู้ชายพบมากกว่าผู้หญิง

อะไรเป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง?

โรคซีโอพีดี

สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง พบได้หลายสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง คือ

1. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่สำคัญและพบบ่อยสุด ซึ่งรวมถึงบุหรี่ที่ทำจากใบจากด้วย ปริมาณและระยะเวลาที่สูบบุหรี่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรค ยิ่งจำนวนของบุหรี่ที่สูบมากและสูบมานานหลายปี ก็มีโอกาสเกิดโรคนี้ได้มาก โดยโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรค คือ ผู้ที่สูบบุหรี่ประมาณวันละ 1 ซองติดต่อกันเป็นเวลา 20 ปี แต่ก็ไม่จำเป็นว่าผู้ที่สูบบุหรี่ทุกคนจะต้องกลายเป็นโรคนี้ นอกจากนี้ผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่เอง แต่ได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่น ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ก็มีโอกาสเกิดโรคได้เช่นกัน

2. การทำงานบางประเภทที่มีการหายใจเอาละอองสารเคมีบางอย่างเป็นปริมาณมากและติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เช่น การทำงานในเหมืองถ่านหิน งานอุตสาหกรรมสิ่งทอจากฝ้าย โดยเฉพาะหน้าที่ที่เกี่ยวกับการสางใยฝ้าย งานอุตสากรรมพลาสติกที่เกี่ยวกับสารเคมี Isocyanate หรือ Toluene หรือ งานเชื่อมโลหะ

3. มลภาวะในอากาศ พบว่าประชากรที่อยู่อาศัยในเมืองใหญ่ๆ มีอัตราการป่วยเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังมากกว่าประชากรในชนบท มลภาวะอากาศจึงน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้อยู่แล้ว พบชัดเจนว่า หากหายใจเอาอากาศที่มีปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (Sulfur dioxide) อยู่มาก ก็จะทำให้อาการกำเริบได้ การสูดดมควันที่เกิดจากการการใช้ถ่านไม้ หรือมูลสัตว์เป็นเชื้อเพลิงทำอาหารในครัวเรือนเป็นประจำ ก็เป็นสาเหตุของการเกิดโรคนี้ด้วยเช่นกัน

4. โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคขาดเอนไซม์ (Enzyme) ชื่อ Alpha-one antitrypsin เป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดที่ถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ โดยความผิดปกติของสารพันธุกรรมพบได้หลายแบบแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล และส่งผลให้บางคนมีโอกาสเป็นโรคถุงลมโป่งพองได้ด้วย ส่วนใหญ่จะพบในคนเชื้อชาติผิวขาว

พยาธิสภาพของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังเป็นอย่างไร?

ระบบทางเดินหายใจเริ่มต้นจากจมูก ลงไปยังกล่องเสียงและหลอดลมใหญ่ /ท่อลม (Trachea) แล้วแตกแขนงออกเป็น หลอดลมประธาน 2 ข้าง คือซ้ายและขวา (Right and Left main bronchus) จากนั้นแต่ละข้างก็แตกแขนงออกไปเรื่อยๆ (ซึ่งเรียกว่า Bronchus) จนกระทั่งเป็นหลอดลมขนาดเล็กสุด (Terminal bronchiole) และหลอดลมที่ใช้แลกเปลี่ยนก๊าซ (Respiratory bronchiole) จากหลอดลมนี้ ก็จะกลายเป็นท่อถุงลม (Alveolar duct) และถุงลม (Alveolar sac) ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ จะมีพยาธิสภาพตรงส่วนของหลอดลม Bronchus หรือตรงส่วนของหลอดลมที่ใช้แลกเปลี่ยนก๊าซ ท่อถุงลม และถุงลม

หากเป็นหลอดลมอักเสบเรื้อรัง (Chronic bronchitis) ในส่วนของหลอดลม Bronchus จะพบเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ เข้ามาอยู่ในชั้นเยื่อบุและชั้นใต้เยื่อบุมากขึ้น ต่อมผลิตเมือกที่อยู่ใต้ชั้นเยื่อบุผิวจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและผลิตเมือกเข้าสู่หลอดลมมากขึ้น เซลล์หลั่งเมือกที่อยู่ในชั้นเยื่อบุผิวจะมีปริมาณมากขึ้นและผลิตเมือกเข้าสู่หลอดลมเช่นกัน และเซลล์เยื่อบุที่เป็นเซลล์ขนกวัด (Ciliated cell/ เซลล์ที่มีขนไว้กวัดกวาดสิ่งแปลกปลอม รวมทั้งสารคัดหลั่ง) จะถูกแทนที่ด้วยเซลล์ชนิดที่ไม่มีขน

สำหรับพยาธิสภาพของถุงลมโป่งพอง จะพบผนังของท่อถุงลมและ/หรือถุงลมถูกทำลายหายไป ทำให้ถุงลมซึ่งอยู่ติดๆกันคล้ายพวงองุ่น กลายเป็นถุงลมขนาดใหญ่

ในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง จะมีพยาธิสภาพของเนื้อเยื่อทั้งสองอย่างร่วมกัน แต่เมื่อมีพยาธิสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งเด่นกว่า ก็จะถูกเรียกว่าเป็นโรคนั้น กล่าวคือ เป็นโรคหลอดลมอักเสบ เมื่อมีพยาธิสภาพของหลอดลม Bronchus เด่นกว่า/มากกว่า หรือ เป็นโรคถุงลงโป่งพอง เมื่อมีพยาธิสภาพของท่อถุงลมและ/หรือถุงลมเด่นกว่า/มากกว่า

การเกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เริ่มต้นจากมีการอักเสบเกิดขึ้นในหลอดลมและถุงลมของปอด โดยพบว่าความไม่สมดุลระหว่างสารก่ออนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบขึ้นมา ซึ่งควันบุหรี่เต็มไปด้วยสารก่ออนุมูลอิสระชนิดต่างๆ นอกจากนี้ควันบุหรี่ยังไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้หลั่งสารเคมีที่ดึงดูดให้เม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ เข้ามารวมตัวกันมากขึ้นและปล่อยสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบออกมา นอกจากนี้สารอนุมูลอิสระยังไปกระตุ้นต่อมผลิตเมือกและเซลล์ผลิตเมือกให้ผลิตเมือกเพิ่มขึ้นอีกด้วย

เม็ดเลือดขาวต่างๆ ที่เข้ามาก่อให้เกิดการอักเสบและสารก่ออนุมูลอิสระจะไปทำให้เอนไซม์ชื่อ Alpha-one antitrypsin ไม่ทำงาน โดยปกติเอนไซม์นี้จะถูกผลิตจากตับและปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด ไหลเวียนมาที่ปอดเพื่อมากดการทำงานของเอนไซม์ที่ชื่อ Elastase เมื่อเอนไซม์ Alpha-one antitrypsin ไม่ทำงาน เอนไซม์ Elastase จึงทำการย่อยสลายเส้นใย อิลาสติน (Elastin มีหน้าที่ให้การยืดหยุ่น เพื่อการยืดและหดตัวของเนื้อเยื่อ) ได้มากกว่าปกติ เนื่องจากเส้นใยอิลาสติน คือ ส่วนประกอบสำคัญของท่อถุงลมและถุงลม เมื่อถูกย่อยสลายท่อถุงลม และถุงลมจึงถูกทำลายลง สำหรับโรคพันธุกรรมชนิดขาดเอนไซม์ Alpha-one antitrypsin ผลคือทำให้เอนไซม์ Elastase ทำงานได้มากกว่าปกติ และตามมาด้วยพยาธิสภาพของถุงลมโป่งพองนั่นเอง

หลอดลมที่อักเสบ มีเม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆ แทรกตัวอยู่ มีเมือกอยู่ภายในท่อมากขึ้น ส่งผลให้ท่อทางเดินหายใจตีบแคบลง อากาศจึงไหลเข้าสู่ท่อหลอดลมได้ยากขึ้น ผู้ป่วยต้องใช้แรงมากขึ้นในการหายใจเข้า นอกจากนี้หลอดลมยังสูญเสียความยืดหยุ่นในการบีบไล่อากาศออกจากท่อเมื่อเราจะหายใจออก ทำให้ผู้ป่วยต้องใช้เวลานานขึ้นในการหายใจออก ในคนปกติ เมื่อต้องการออกแรงใช้กำลังมากมากขึ้น เราก็ต้องหายใจเร็วขึ้น เพื่อให้ปอดแลกเปลี่ยนก๊าซได้เร็วขึ้น แต่ในผู้ป่วยโรคนี้ เมื่อหายใจออก อากาศที่หายใจเข้าไปแลกเปลี่ยนก๊าซแล้วยังไม่ทันไหลออกจากปอดสู่ภายนอกได้หมด ผู้ป่วยก็ต้องหายใจเข้าไปใหม่ เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ หลายๆครั้งต่อเนื่อง ทำให้เกิดอากาศคั่งค้างอยู่ในปอด ปริมาตรปอดก็จะเพิ่มขึ้น

ในโรคนี้การแลกเปลี่ยนก๊าซจะลดลงด้วย สาเหตุหนึ่งมาจากอากาศที่คั่งค้างอยู่ในปอด ซึ่งจะปริมาณออกซิเจนต่ำลงเรื่อยๆ นอกจากนี้อากาศใหม่จากภายนอกที่มีปริมาณออกซิเจนสูงก็ไม่สามารถเข้าสู่ปอดได้เต็มที่ สาเหตุอีกส่วน เกิดจากผนังของท่อถุงลมและถุงลมที่ถูกทำลาย ทำให้หลอดเลือดฝอยที่ผนังถูกทำลายไปด้วย เมื่อเลือดไหลเวียนมาที่ถุงลมลดลง การแลกเปลี่ยนก๊าซก็จะลดลง ผู้ป่วยก็จะมีปริมาณก๊าซออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าปกติและปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในเลือดสูงกว่าปกติ

โรคปอดอุดกั้นมีอาการอย่างไร?

ผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของหลอดลมอักเสบเด่น จะมีอาการไอเรื้อรัง มีเสมหะปริมาณมากและเหนียวข้น โดยจะเป็นมากในช่วงเช้าหลังตื่นนอน อาการไอจะเป็นแทบทุกวัน อาจมีเว้นช่วงที่ไม่มีอาการไอได้ ส่วนใหญ่อาการจะปรากฏในช่วงอายุ 50 ปี และเมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 60-70 ปี จะเริ่มมีอาการหายใจเหนื่อยหอบ/หายใจลำบาก ซึ่งจะค่อยๆ รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากมีอาการเหนื่อยง่ายขึ้นเมื่อออกแรงใช้กำลัง ต่อมาแม้ทำกิจวัตรประจำวัน เช่น อาบน้ำ กินข้าว ก็ทำให้มีอาการเหนื่อยได้แล้ว จนกระทั่งสุดท้ายแม้อยู่เฉยๆ ก็มีอาการเหนื่อยได้

อาการอื่นๆ เช่น อาจมีหายใจเสียงดังวี๊ดๆ ได้ หรือรู้สึกเจ็บหน้าอกร่วมด้วยได้

ตรวจร่างกายจะฟังเสียงปอดได้ผิดปกติ ทรวงอกใหญ่กว่าปกติ เนื่องจากปริมาตรปอดที่ขยายใหญ่ขึ้น โดยจะขยายออกทางด้านหน้า-หลังมากกว่าด้านข้าง ทำให้ทรวงอกมีรูปร่างเหมือนถังเบียร์หรือโอ่ง เรียกว่า Barrel chest อาจพบลักษณะการหายใจออกแบบห่อปาก (Pursed lip) ซึ่งเป็นท่าทางที่ช่วยในการหายใจเอาอากาศออกของผู้ป่วย ตรวจดูเล็บอาจพบลักษณะเล็บปุ้ม/ปลายนิ้วกลมๆ (Clubbing finger) ซึ่งเป็นลักษณะที่สามารถพบได้ในโรคปอดเรื้อรังชนิดอื่นๆ ด้วย

ส่วนผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของถุงลมโป่งพองเด่น มักจะไม่มีอาการไอและมีเสมหะ แต่จะมีอาการหายใจเหนื่อยเป็นหลัก ซึ่งก็จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน สำหรับอาการอื่นๆก็จะเหมือนๆกัน

อาการของผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง อาจกำเริบขึ้นเป็นระยะๆ โดยเฉลี่ยมักจะเกิดขึ้นปีละ 1-2 ครั้ง ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยขึ้นกว่าปกติที่เป็นอยู่อย่างฉับพลัน หรือไอมากขึ้น มีเสมหะปริมาณมากขึ้น เสมหะมีลักษณะเป็นหนองมากขึ้น สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในปอดแทรกซ้อน

ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง เมื่ออาการรุนแรงมากแล้ว จะเกิดภาวะความดันโลหิตสูงของหลอดเลือดที่ไหลเข้าสู่ปอด ซึ่งมีผลทำให้เกิดภาวะหัวใจวายได้ ผู้ป่วยก็จะมีอาการบวมตามแขน-ขา ตับโต ท้องมาน/มีน้ำในท้อง/บวมท้อง และยิ่งทำให้มีอาการเหนื่อยมากขึ้น สาเหตุของภาวะนี้เกิดจากการที่ร่างกายมีปริมาณออกซิเจนต่ำลงจากการแลกเปลี่ยนก๊าซได้ลดลง ทำให้ไปกระตุ้นหลอดเลือดแดงให้เกิดการบีบตัวมากกว่าปกติ ส่งผลทำให้ความดันโลหิตของหลอดเลือดแดงสูงขึ้น นอกจากนี้การที่ท่อถุงลมและถุงลมถูกทำลาย ทำให้หลอดเลือดฝอยถูกทำลาย ปริมาณหลอดเลือดฝอยจึงลดลง ทำให้พื้นที่ปริมาตรเลือดลดลง เมื่อปริมาตรเลือดปลายทางลดลง แต่ปริมาตรเลือดต้นทาง ซึ่งคือหลอดเลือดแดงมีเลือดอยู่เท่าเดิม จึงเกิดแรงกดดันในหลอดเลือดแดงมากขึ้น ความดันโลหิตของหลอดเลือดแดงจึงสูงขึ้น

ในผู้ป่วยที่เป็นมานานแล้วจะพบอาการอื่นๆ ได้อีก เช่น น้ำหนักตัวลด/ผอมลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยในระยะท้ายๆ ผู้ป่วยจะผอมมาก เกิดจากการที่ร่างกายมีปริมาณออกซิเจนในเลือดต่ำ ทำให้ไปกระตุ้นการหลั่งสารเคมีชื่อ Tumor necrosis factor-alpha สารเคมีนี้ ทำให้ร่างกายใช้พลังงานสูงกว่าปกติ หากผู้ป่วยกินได้เท่าเดิม ก็จะผอมลงเรื่อยๆ ร่างกายที่มีออกซิเจนต่ำยังไปกระตุ้นให้ไตหลั่งฮอร์โมนหลายชนิด ซึ่งทำให้เกิดความดันโลหิตสูง ทำให้เกลือแร่ชนิดโซเดียมคั่งและร่างกายเกิดการบวมน้ำได้ ปริมาณออกซิเจนที่ต่ำยังไปกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงเพื่อช่วยการขนส่งออกซิเจน ทำให้มีปริมาณเม็ดเลือดแดงสูงกว่าปกติได้ นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีภาวะกระดูกพรุน และกล้ามเนื้อโดยเฉพาะที่แขนขาเล็กลงและอ่อนกำลัง/กล้ามเนื้ออ่อนแรงลงด้วย

แพทย์วินิจฉัยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังอย่างไร?

การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ต้องอาศัยการตรวจพิเศษ ร่วมกับ ประวัติอาการที่น่าจะเป็นโรคนี้ได้ คือมีอาการไอร่วมกับมีเสมหะที่เป็นติดต่อกันนานหลายเดือน โดยที่ไม่ได้มีไข้ร่วมด้วย หรือมีอาการหายใจเหนื่อยเรื้อรัง ซึ่งเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ แพทย์ก็จะทำการตรวจเอกซเรย์ปอดในเบื้องต้น ซึ่งในผู้ที่มีอาการมากและเป็นมานานแล้ว จะตรวจพบความผิดปกติได้ คือเห็นอากาศในปอดมากกว่าปกติ กระบังลมอยู่ต่ำกว่าปกติ และหัวใจดูมีขนาดเล็กลงเมื่อเทียบกับพื้นที่ของปอด ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยในเบื้องต้นได้ว่าน่าจะเป็นโรคนี้

แต่ในผู้ที่มีอาการเล็กน้อยไม่รุนแรง เอกซเรย์ปอดอาจไม่พบความผิดปกติใดๆ ดังนั้นต้องอาศัยการตรวจสมรรถภาพของปอด/การตรวจการทำงานของปอด (Spirometry) ร่วมด้วย ซึ่งถือเป็นวิธีมาตรฐานของการวินิจฉัยโรคนี้ โดยการให้ผู้ป่วยหายใจเข้าให้เต็มที่แล้วเป่าลมหายใจออกอย่างรวดเร็วผ่านเครื่อง Spirometer แล้ววัดค่าปริมาณอากาศที่สามารถหายใจออกใน 1 วินาที (เรียกว่าค่า FEV1/ Force expiratory volume 1) เทียบกับค่าปริมาณของอากาศเมื่อหายใจออกมาทั้งหมด (เรียกว่าค่า FVC/Force vital capacity) หากวัดค่า FEV1/FVC ได้น้อยกว่า 70% ก็จะให้การวินิจฉัยได้ว่าผู้ป่วยเป็นโรคนี้

ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังแล้วนั้น การจะเรียกว่าเป็นหลอดลมอักเสบ หรือถุงลมโป่งพอง ขึ้นอยู่กับอาการ หากผู้ป่วยมีอาการไอร่วมกับมีเสมหะ โดยเป็นเกือบทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน และเป็นมาอย่างน้อย 2 ปีติดต่อกัน ก็จะเรียกว่าเป็น โรคหลอดลมอักเสบ หากมีอาการดังกล่าวไม่ครบ โดยมีเพียงอาการหายใจเหนื่อยเรื้อรัง ก็จะเรียกว่าเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง แต่ถ้าผลการเอกซเรย์ปอดหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ปอด พบลักษณะถุงลมที่โป่งพองออก ก็จะเรียกว่าเป็นโรคถุงลมโป่งพอง

หากผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังในขณะที่มีอายุไม่มาก คือน้อยกว่า 50 ปี หรือตรวจพบมีอาการของ ตับ เช่น ตับอักเสบ ตับแข็ง ร่วมด้วย สาเหตุอาจเป็นจากโรคพันธุกรรมขาดเอนไซม์ ซึ่งต้องตรวจหาปริมาณเอนไซม์ Alpha-one antitrypsin ในเลือด เพื่อยืนยันการวินิจฉัย และนำบุคคลในครอบครัวมาตรวจด้วย

มีแนวทางรักษาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังอย่างไร?

การรักษาโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังประกอบด้วย การหยุดสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคและการรักษาประคับประคองตามอาการ ซึ่งจะช่วยลดอาการต่างๆลงได้ ชะลอการดำเนินของโรค/การลุกลามของโรคให้ช้าลงได้ แต่ไม่สามารถหยุดการดำเนินของโรคได้ หากปอดมีพยาธิสภาพเกิดขึ้นมาแล้ว

- การหยุดสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค บางสาเหตุก็สามารถหยุดได้ เช่น การหยุดสูบบุหรี่ แต่บางสาเหตุก็ไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น สาเหตุจากพันธุกรรม บางสาเหตุก็อาจควบคุมไม่ได้แต่สามารถลดลงได้ เช่น มลภาวะของอากาศ

- การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น

  • การให้ยาขยายหลอดลม ซึ่งมีทั้งในรูปแบบกินและรูปแบบพ่น โดยจะช่วยทำให้อากาศลงสู่ปอดได้เพิ่มมากขึ้น และง่ายขึ้นเมื่อผู้ป่วยหายใจเข้า
  • การให้ยาลดการอักเสบ/ยาแก้อักเสบกลุ่มสเตียรอยด์ โดยจะให้ในรูปแบบพ่น ส่วนใหญ่จะใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการมากแล้ว
  • ในผู้ป่วยที่วัดระดับออกซิเจนในเลือดได้ต่ำมาก การรักษาคือการให้ออกซิเจน โดยในแต่ละวันจะให้ผู้ป่วยหายใจด้วยออกซิเจนติดต่อกันเป็นหลายชั่วโมง ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดภาวะความดันโลหิตสูงในหลอดเลือดแดงของปอดและภาวะหัวใจวายได้
  • ในผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดบริเวณของปอดที่มีการโป่งพองมาก เพื่อลดขนาดของปอดลง ทำให้ปอดส่วนที่เหลือหดตัวเวลาหายใจออกได้ดีขึ้นและยังทำให้กล้ามเนื้อกะบังลมหดตัวช่วยในการบีบตัวของปอดได้ดีขึ้น แต่ผลของการรักษาเป็นเพียงแค่ระยะสั้นๆและค่าใช้จ่ายค่อนข้างแพง

การรักษาแบบประคับประคอง ยังรวมไปถึง

  • การทำกายภาพบำบัด โดยเลือกวิธีออกกำลังกายให้เหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้ออกแรงงานใช้งานได้มากขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย การฝึกวิธีหายใจออก เพื่อไม่ให้อากาศคั่งค้างอยู่ในปอดมากเกินไป
  • การดูแลด้านโภชนาการ ให้ผู้ป่วยได้รับพลังงานจากอาหารที่เพียงพอในแต่ละวัน ไม่ให้น้ำหนักลด/ผอมลงเรื่อยๆ เพราะจะทำให้ยิ่งเหนื่อย กล้ามเนื้อฝ่อลีบ
  • นอกจากนี้คือการดูแลด้านจิตใจของผู้ป่วย เพราะผู้ที่มีอาการมานาน จะเกิดความวิตกกังวล และซึมเศร้าได้

นอกจากนี้ การรักษายังรวมถึงการรักษาเมื่อผู้ป่วยมีอาการกำเริบ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งผู้ป่วยต้องได้รับยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม

สำหรับการรักษาที่จะทำให้ผู้ป่วยหายจากโรคได้ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใด คือ การผ่าตัดเปลี่ยนปอด (ให้การรักษาได้เฉพาะในประเทศที่เจริญแล้วเท่านั้น) โดยจะพิจารณาทำในผู้ป่วยที่มีอาการมากแล้ว

มีผลข้างเคียงและความรุนแรงโรคอย่างไร?

ธรรมชาติของโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังจะค่อยๆแย่ลงไปเรื่อยๆ และจะเสียชีวิต จากภาวะหายใจล้มเหลวในที่สุด โดยโอกาสการเสียชีวิตขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น การตอบสนองของค่า FEV1 เมื่อให้ยาขยายหลอดลม ค่าดัชนีมวลกาย (น้ำหนักตัวที่เหมาะสม) และความรุนแรงของอาการหายใจเหนื่อยหอบ หากการตอบสนองต่อยาขยายหลอดไม่ดี ดัชนีมวลกายน้อย มีอาการหายใจเหนื่อยหอบรุนแรง โอกาสเสียชีวิตก็จะมีมากไปด้วย

นอกจากนั้น อาจพบภาวะหัวใจล้มเหลว/หัวใจด้านขวาล้มเหลวตามมา จากการที่โรคปอดอุดกั้นเรื้อรังส่งผลให้ความดันโลหิตในปอดสูงขึ้น หัวใจด้านขวาที่มีหน้าที่ส่งเลือดไปยังปอดจึงต้องทำงานมากขึ้น จึงส่งผลต่อเนื่องให้เกิดภาวะหัวใจห้องขวาล้มเหลวได้ ที่เรียกว่าภาวะ “Cor pulmonale”

การหยุดสาเหตุที่หยุดได้ โดยเฉพาะการหยุดสูบบุหรี่ และการหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ จะทำให้การดำเนินของโรค/การลุกลามของโรคช้าลงได้ และอาการโดยรวมดีขึ้น แต่ไม่สามารถทำให้ปอดที่มีพยาธิสภาพเกิดขึ้นแล้วหายเป็นปกติได้

ดูแลตนเองและป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังอย่างไร?

ดูแลตนเองและป้องกันโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โดย

1. ในผู้ที่ยังไม่เป็นโรค ต้องหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และยาเส้น หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับคนที่สูบบุหรี่ หรือสถานที่มีควันบุหรี่ หลีกเลี่ยงการใช้ถ่านไม้หรือมูลสัตว์ในการประกอบอาหาร หรือควรมีระบบดูดควันที่ดีในบ้านหรือในที่ทำงาน

2. นอกจากการป้องกันโดยส่วนตัวบุคคลแล้ว การป้องกันยังต้องอาศัยจากสังคมร่วมด้วย เช่น การควบคุมสิ่งแวดล้อมของอากาศ โรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องต้องมีมาตรการในการจัดการกับฝุ่นละอองของสารต่างๆ ไม่ให้มีค่าสูงเกินเกณฑ์ที่กำหนด มีการระบายอากาศที่ดี มีการใช้หน้ากากป้องกันฝุ่นละออง มีการตรวจสุขภาพพนักงานเป็นประจำเพื่อคัดกรองโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (การตรวจสมรรถภาพปอด) หากพบว่าเริ่มความผิดปกติของปอด ควรให้เปลี่ยนประเภทงาน

3. ผู้ที่ป่วยเป็นโรคแล้ว หากสูบบุหรี่หรือยาเส้นอยู่ ต้องหยุดสูบให้ได้ แม้ว่าบางครั้งอาจจะไม่ได้มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ก็ตาม เช่น เป็นโรคทางพันธุกรรมอยู่ เพราะจะทำให้การดำเนินโรคเร็วขึ้น รวมทั้งต้องไม่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่สูบบุหรี่ด้วย

4. หากผู้ป่วยอาศัยอยู่ในเมืองที่มีปัญหามลภาวะทางอากาศ พยายามอยู่แต่ในบ้านหรือในอาคาร เพราะจะมีฝุ่นละออง ควันพิษต่างๆ น้อยกว่าตามท้องถนน และควรรู้จักการใช้หน้ากากอนามัย

5. ผู้ป่วยควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ และเชื้อนิวโมคอคคัส (Pneumococcus, อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com เรื่อง โรคติดเชื้อนิวโมคอกคัส) เพื่อป้องกันไม่ให้อาการของโรคนี้กำเริบ

ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?

ผู้ที่มีอาการไอเรื้อรังร่วมกับมีเสมหะติดต่อกันเป็นเดือน หรือมีอาการหายใจเหนื่อยซึ่งค่อยๆเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย

บรรณานุกรม

  1. Eric G. Honig, Roland H. Ingram, Jr. Chronic bronchitis, emphysema, and airways obstruction, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald, Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
  2. http://en.wikipedia.org/wiki/chronic_obstructive_pulmonary_disease [2017,Nov18]
  3. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmedhealth/PMHT0022631/ [2017,Nov18]
Updated 2017, Nov18