แลโลกแบบแห้งแล้ง (ตอนที่ 3)
- โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
- 13 มิถุนายน 2559
- Tweet
ปัจจัยเสี่ยงของอาการตาแห้ง ได้แก่
- อายุมากกว่า 50 ปี
- เป็นเพศหญิง โดยเฉพาะผู้ที่มีฮอร์โมนแปรปรวนระหว่างการตั้งครรภ์ การกินยาคุมกำเนิด หรือวัยหมดระดู
- กินอาหารที่มีวิตามินเอน้อย
- ใส่คอนแทคเลนส์
โดยผู้ที่มีอาการตาแห้งมักจะมีอาการแทรกซ้อนดังนี้
- ติดเชื้อที่ตา เพราะขาดน้ำตาในการปกป้องดวงตา
- ผิวตาถูกทำลาย หากปล่อยให้ตาแห้ง อาจทำให้ตาอักเสบ กระจกตาถลอก กระจกตาเป็นแผล และมีปัญหาในการเห็น
- มีปัญหาในการทำกิจกรรมระหว่างวัน เช่น การอ่านหนังสือ
สำหรับอาการตาแห้งอาจตรวจทดสอบได้ดังนี้
- การตรวจตาอย่างละเอียด
- การวัดปริมาณน้ำตาด้วยวิธี Schirmer test ด้วยการสอดแถบกระดาษกรองเข้าไปในกระพุ้งตาล่างเพื่อดูความเปียกของกระดาษภายใน 5 นาที
- การวัดคุณภาพของน้ำตา
คนที่มีอาการตาแห้งอย่างอ่อนหรือเกิดเป็นบางครั้ง อาจรักษาด้วยการหยอดน้ำตาเทียม แต่ถ้ามีอาการตาแห้งเป็นประจำ ควรหาสาเหตุที่แท้จริงและทำการรักษา เช่น กรณีตาแห้งจากตัวยาที่ใช้ ก็ทำการเปลี่ยนตัวยาอื่นเพื่อลดผลข้างเคียงจากการใช้ยา หรือกรณีมีปัญหาหนังตาม้วนออก ก็อาจทำการผ่าตัดแก้ไข
ทั้งนี้ ยาที่ใช้รักษาอาการตาแห้ง ได้แก่
- ยาปฏิชีวนะลดการอักเสบของเปลือกตา เพื่อลดการอักเสบของเปลือกตาที่สามารถทำให้ต่อมน้ำมันหลั่งน้ำมันเข้าสู่ตา
- ยาหยอดตาที่ควบคุมการอักเสบของกระจกตา (Cornea) ที่มีส่วนประกอบของยากดภูมิต้านทาน เช่น ยา Cyclosporine หรือ ยา Corticosteroids
- น้ำตาเทียมเพื่อความชุ่มชื้น
- ยากระตุ้นการหลั่งน้ำตา ซึ่งอาจอยู่ในรูปของยาเม็ด เจล หรือยาหยอด
- ยาหยอดตาที่ทำจากเลือดของตัวเอง ซึ่งใช้ในกรณีที่มีอาการตาแห้งที่รุนแรงไม่ตอบสนองต่อการรักษาอย่างอื่น ยานี้จะทำจากเลือดที่เอาเซลล์เม็ดเลือดแดงออกและผสมด้วยน้ำเกลือ
แหล่งข้อมูล
1. Dry eyes. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/dry-eyes/basics/definition/con-20024129 [2016, June 12].