เฮชไอวี VS เอดส์ (ตอนที่ 5)

เฮชไอวี VS เอดส์

สัญญาณที่บ่งบอกว่าเชื้อเฮชไอวีได้พัฒนาไปเป็นเอดส์แล้ว ได้แก่

  • เป็นไข้ไม่ยอมหาย
  • เหงื่อออกระหว่างนอนหลับ
  • รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา (ไม่ได้เกิดจากความเครียดหรือการอดนอน)
  • รู้สึกไม่สบายตลอดเวลา
  • น้ำหนักลด
  • ต่อมน้ำเหลืองโต เช่น ที่คอ ขาหนีบ รักแร้
  • มีเชื้อราในปาก (Oral thrush)
  • ท้องเสียมากกว่า 1 สัปดาห์

ในสมัยก่อนคนที่ติดเชื้อเฮชไอวีจะเปรียบเสมือนคนที่ถูกโทษประหารชีวิต แต่ในปัจจุบันด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่หลากหลาย ทำให้สามารถชะลอหรือควบคุมอาการของการติดเชื้อได้

แพทย์สามารถกำจัดเชื้อเฮชไอวีออกจากร่างกายได้ หากได้รับการรักษาทันทีหลังการติดเชื้อภายใน 72 ชั่วโมง ด้วยการกินยาต้านเฮชไอวี (Anti-HIV drugs) อย่างในหมู่แพทย์ พยาบาล ตำรวจ ที่อาจสัมผัสกับเลือดที่มีเชื้อ เช่น การถูกเข็มทิ่มเป็นแผลระหว่างการรักษาหรือดูแลผู้ติดเชื้อ หรือเลือดที่มีเชื้อกระเด็นเข้าตา จมูก เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงของยาได้บ้าง

ยาที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อ จะหยุดยั้งการแพร่ตัวของเชื้อไวรัสในร่างกาย ช่วยให้ระบบภูมิต้านทานสามารถซ่อมแซมตนเองและไม่ถูกทำลายเพิ่ม การใช้ยาเพียงตัวเดียวในการรักษาจะทำให้เชื้อดื้อยาได้ง่าย แต่การรักษาด้วยยาหลายตัวร่วมกันจะให้ผลที่ดีกว่า

ดังนั้น หากพบว่าติดเชื้อเฮชไอวี แพทย์จะเริ่มการรักษาด้วยการให้ยาหลากชนิดเพื่อต้านเชื้อเฮชไอวีหรือที่เรียกว่า HAART (Highly-active antiretroviral therapy) อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันได้มีการรวมยาต้านไวรัสหลายขนานไว้ในเม็ดเดียวกัน หรือที่เรียกว่า "Fixed dose combination" ดังนั้นผู้ติดเชื้อจึงสามารถกินยาเพียง 1 หรือ 2 เม็ดต่อวันเท่านั้น

การกินยาให้ตรงเวลาทุกวันเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษา เพราะการขาดยา 1-2 ครั้ง ใน 1 สัปดาห์ ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการดื้อยาได้ นอกจากนี้การให้ยาไม่ถูกหรือไม่ต่อเนื่องหรือยามีปฏิกริยากับยาชนิดอื่น (Interact) ก็อาจทำให้เชื้อกลายพันธุ์หรือเปลี่ยนเป็นเชื่อดื้อยาได้

โดยผลข้างเคียงที่เกิดจากการรักษาการติดเชื้อ ได้แก่

  • คลื่นไส้
  • ท้องเสีย
  • ผิวหนังเป็นผื่น
  • นอนไม่หลับ

แหล่งข้อมูล

  1. HIV and AIDS. http://www.nhs.uk/conditions/HIV/Pages/Introduction.aspx [2015, October 21].
  2. What Is HIV/AIDS? https://www.aids.gov/hiv-aids-basics/hiv-aids-101/what-is-hiv-aids/ [2015, October 21].
  3. HIV & AIDS Overview. http://www.webmd.com/hiv-aids/ [2015, October 21].