เอสโซปิโคลน (Eszopiclone)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

ยาเอสโซปิโคลน(Eszopiclone) เป็นยานอนหลับประเภท Non-benzodiazepine ยานี้มีสูตรโมเลกุลเหมือนกับยาโซปิโคลน(Zopiclone) แต่มีการจัดเรียงโครงสร้างเคมีที่ต่างกัน รูปแบบเภสัชภัณฑ์จัดเป็นยาประเภทรับประทาน หลังการดูดซึมตัวยานี้จากระบบทางเดินอาหาร เมื่อตัวยาเข้าสู่กระแสเลือด ตัวยานี้จะเริ่มกระตุ้นในสมองหลั่งสารสื่อประสาทตามธรรมชาติ และส่งผลให้เกิดอาการง่วงนอน โดยทั่วไป แพทย์มักจะสั่งจ่ายยานี้ในขนาดต่ำๆก่อน แล้วค่อยๆปรับขนาดรับประทานเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม

ผู้ที่ได้รับยาเอสโซปิโคลน อาจเกิดการเสพติดยานี้ได้ในระดับกลางๆ จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ห้ามใช้ยาเอสโซปิโคนกับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี รวมถึงสตรีมีครรภ์/ตั้งครรภ์ และสตรีในภาวะให้นมบุตร

นอกจากนี้ยังมีข้อควรระวังและข้อห้ามบางประการที่ผู้บริโภค/ผู้ป่วยควรทราบและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเมื่อใช้ตัวยาเอสโซปิโคลน เช่น

  • ห้ามรับประทานยานี้พร้อมเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เพิ่มอาการวิงเวียนและง่วงนอนเป็นอย่างมาก
  • ยานี้สามารถทำให้รู้สึก ปวดศีรษะ ความจำแย่ลง ประสาทหลอน สูญเสีย การทรงตัว ปากแห้ง การรับรสชาติอาหารเปลี่ยนไป กรณีนี้ผู้บริโภคสามารถ ขอคำปรึกษาจากแพทย์ เพื่อแพทย์พิจารณาปรับแนวทางการใช้ยานี้เพื่อให้เหมาะสมกับผู้ป่วย
  • ขณะตื่นนอนตอนเช้า หากรู้สึก วิงเวียน มึนงง นั่นอาจเป็นที่ฤทธิ์ตกค้างของ การใช้ยานี้ ควรหลีกเลี่ยงการขับขี่ยวดยานพาหนะหรือการทำงานที่เกี่ยวกับ เครื่องจักรต่างๆด้วยจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
  • การใช้ยาอื่นใดร่วมกับยาเอสโซปิโคลน ควรต้องเป็นไปตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น ด้วยมียาหลายรายการที่สามารถก่อให้เกิดอาการข้างเคียง(ผลข้างเคียง)ต่างๆเมื่อใช้ร่วมกับยาเอสโซปิโคลน เช่นยา TCAs
  • ห้ามปรับขนาดรับประทานยานี้โดยไม่ขอคำปรึกษาจากแพทย์ ด้วยยานี้สามารถทำให้เกิดการเสพติดยานี้ตามมาได้
  • กรณีหยุดการใช้ยานี้ทันที อาจทำให้เกิดภาวะถอนยาตามมา แพทย์จะเป็น ผู้ปรับลดขนาดรับประทานยานี้ลงได้เหมาะสมที่สุด
  • ตัวยาเอสโซปิโคลนสามารถออกฤทธิ์ควบคุมการนอนหลับได้นานถึงประมาณ 7–8 ชั่วโมง จึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยานี้ในช่วงเวลาเที่ยงคืน ด้วยเหตุผลที่มีความสัมพันธ์กับเวลาตื่นนอน
  • ผู้สูงอายุไม่ควรใช้ยาเอสโซปิโคลนเกิน 2 มิลลิกรัม/วัน
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานยานี้พร้อมกับอาหาร ด้วยจะทำให้การดูดซึมยานี้จากระบบทางเดินอาหารช้าลง จนส่งผลต่อเวลาของการออกฤทธิ์ของยานี้
  • กรณีที่ใช้ยานี้แล้ว 7–10 วัน อาการนอนไม่หลับไม่ดีขึ้น ควรกลับมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เพื่อแพทย์พิจารณาปรับแนวทางการรักษา

จากข้อควรระวังดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภคต้องใช้ยาเอสโซปิโคลน ตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด *กรณีที่เกิดข้อผิดพลาดรับประทานยานี้เกินขนาด จะทำให้เกิดอาการครองสติไม่อยู่ไปจนถึงขั้นโคม่า ซึ่งหากพบเห็นอาการเหล่านี้ ต้องรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที/ฉุกเฉิน ซึ่งแพทย์จะดำเนินการรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น ร่วมกับควบคุมระบบการทำงานของหัวใจ และของระบบการหายใจของผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด กรณีที่มีอาการรุนแรงมากๆ แพทย์อาจจำเป็นต้องใช้ยา Flumazenil เพื่อต้านพิษของยาเอสโซปิโคลน

ทั้งนี้ หากผู้ป่วยมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับยาเอสโซปิโคลน สามารถสอบถามข้อมูลการใช้ยานี้ได้จากแพทย์หรือจากเภสัชกรโดยทั่วไป

เอสโซปิโคลนมีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?

เอสโซปิโคลน

ยาเอสโซปิโคลนมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ เช่น

  • ใช้เป็นยานอนหลับ

เอสโซปิโคลนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?

ตัวยาเอสโซปิโคลน มีกลไกการออกฤทธิ์ที่บริเวณตัวรับ(Receptor)ในสมองที่มีชื่อเรียกว่า GABA receptor ส่งผลให้สมองมีการปรับสารสื่อประสาท จนก่อให้เกิดผลกระตุ้นให้เกิดการนอนหลับ

เอสโซปิโคลนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?

ยาเอสโซปิโคลนมีรูปแบบการจัดจำหน่าย เช่น

  • ยาเม็ดชนิดรับประทานที่มีส่วนประกอบของ Eszopiclone ขนาด 1 , 2 และ 3 มิลลิกรัม/เม็ด

เอสโซปิโคลนมีขนาดรับประทานอย่างไร?

ยาเอสโซปิโคลน มีขนาดรับประทาน เช่น

  • ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป: รับประทานยา 1 มิลลิกรัม ครั้งเดียว ก่อนนอน โดยแพทย์อาจปรับขนาดรับประทานเป็น 2 หรือ 3 มิลลิกรัมตามความรุนแรงของอาการนอนไม่หลับ ขนาดรับ ประทานสูงสุดไม่เกิน 3 มิลลิกรัม/วัน และควรรับประทานในขณะท้องว่าง
  • ผู้สูงอายุ: รับประทานยาตามแพทย์สั่ง โดยรับประทานยาสูงสุดไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/วัน ก่อนนอน และควรรับประทานในขณะท้องว่าง
  • เด็ก/ผู้อายุต่ำกว่า 18 ปี: ยังไม่มีข้อมูลทางคลินิกที่แน่ชัดถึง ขนาดยานี้ ผลข้างเคียง และความปลอดภัยในการใช้ยานี้ในผู้ป่วยวัยนี้ การใช้ยานี้ในผู้ป่วยกลุ่มวัยนี้ จึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นกรณีๆไป

อนึ่ง:

  • ระวังการใช้ยานี้กับผู้ที่มีประวัติติดสาร/ยาเสพติด ผู้ที่มีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้เป็นโรคซึมเศร้า ผู้ป่วยโรคตับ

*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียง ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาเอสโซปิโคลน ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกร ดังนี้

  • ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
  • มีโรคประจำตัวต่างๆ อย่างเช่น โรคตับ โรคไต โรคความดันโลหิตสูง โรคความดันโลหิตต่ำ โรคทางจิตเวช รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาเอสโซปิโคลน อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
  • หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้

หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?

หากลืมรับประทานยา เอสโซปิโคลน สามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดรับประทานยาเป็น 2 เท่า ให้รับประทานยาในขนาดปกติตามคำสั่งแพทย์

เอสโซปิโคลนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?

ยาเอสโซปิโคลนสามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์จากยา (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง) ต่อระบบอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนี้ เช่น

  • ต่อระบบทางเดินอาหาร: เช่น ปากแห้ง การรับรสชาติเปลี่ยนไป ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ ลิ้นบวม /ลิ้นอักเสบ ลำไส้ใหญ่อักเสบ
  • ผลต่อระบบประสาท: เช่น ปวดศีรษะ วิงเวียน ความรู้สึกสัมผัสเพี้ยน ปวดศีรษะไมเกรน ง่วงนอน
  • ผลต่อสภาพจิตใจ: เช่น วิตกกังวล รู้สึกสับสน ซึม ประสาทหลอน กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ
  • ผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะและระบบทางเดินสืบพันธุ์: เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะมีเลือดปน/ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขัด ประจำเดือนขาด(ในสตรี) เกิดนิ่วในไต
  • ผลต่อระบบทางเดินหายใจ: เช่น เกิดโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจได้ง่าย หอบหืด หลอดลมอักเสบ คออักเสบ
  • ผลต่อผิวหนัง: เช่น เกิดผื่นคันตามผิวหนัง เกิดสิว ผมร่วง ผิวแห้ง ผิวมีสีซีด
  • ผลต่อระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค: เช่น ติดเชื้อไวรัสได้ง่าย เช่น งูสวัด
  • ผลต่อระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย: เช่น เบื่ออาหาร น้ำหนัตัวเพิ่มขึ้น โรคเกาต์คุกคาม ไขมันในเลือดสูง
  • ผลต่อระบบเลือด: เช่น เกิดภาวะเลือดจาง/โลหิตจาง
  • ผลต่อตับ: เช่น ตับอักเสบ ตับโต
  • ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด: เช่น มือเท้า-บวม หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง
  • ผลต่อระบบกล้ามเนื้อและกระดูก: เช่น ข้ออักเสบ เกิดตะคริวที่ขา กล้ามเนื้ออ่อนแรง กล้ามเนื้อกระตุก
  • ผลต่อตา: เช่น เยื่อตาอักเสบ ตาแห้ง ตาแพ้แสง

มีข้อควรระวังการใช้เอสโซปิโคลนอย่างไร?

มีข้อควรระวังการใช้ยาเอสโซปิโคลน เช่น

  • ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้
  • ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่มี ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง การหายใจล้มเหลว ผู้ที่หยุดหายใจขณะนอนหลับ/นอนหลับแล้วหยุดหายใจ ผู้ป่วยโรคตับขั้นรุนแรง
  • ห้ามรับประทานยานี้ร่วมกับเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์
  • ห้ามใช้ยานี้กับสตรีมีครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร และเด็ก
  • ห้ามปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง และใช้ยานี้ตามขนาดรับประทานที่แพทย์แนะนำเท่านั้น
  • ห้ามใช้ยาที่มีสภาพเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น เม็ดยาแตกหัก สีเม็ดยาเปลี่ยน
  • หลังรับประทานยานี้แล้วมีอาการ อึดอัด/แน่นหน้าอก/หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก หรือเกิดผื่นคันขึ้นเต็มตัว ซึ่งเป็นอาการแพ้ยานี้ ให้รีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที/ฉุกเฉิน
  • กรณีที่ใช้ยานี้แล้วไม่ได้ผล ให้รีบกลับมาปรึกษาแพทย์/มาโรงพยาบาล
  • ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
  • ห้ามใช้ยาที่หมดอายุ
  • ห้ามเก็บยาที่หมดอายุ

***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา”ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาเอสโซปิโคลนด้วย) ยาแผนโบราณ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด(อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้าน ขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ

เอสโซปิโคลนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?

ยาเอสโซปิโคลนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น

  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาเอสโซปิโคลนร่วมกับยา Codeine เพราะจะทำให้มีภาวะ กดการหายใจจนเข้าขั้นโคม่าตามมาได้
  • ห้ามรับประทานยาเอสโซปิโคลนร่วมกับยากลุ่ม TCAs เพราะจะทำให้มีอาการ ง่วงนอนมากยิ่งขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาเอสโซปิโคลนร่วมกับยา Lorazepam , Rifampicin, เพราะจะทำให้ระดับของยาเอสโซปิโคลนในกระแสเลือดลดต่ำลงจนส่งผลลดประสิทธิภาพการรักษา
  • การใช้ยาเอสโซปิโคลนร่วมกับยา Clarithromycin, Ketoconazole , Ritonavir, อาจจะทำให้ระดับยาโซปิโคลนในกระแสเลือดเพิ่มสูงขึ้นจนส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงจากยาเอสโซปิโคลนสูงมากขึ้น หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมเป็นกรณีไป

ควรเก็บรักษาเอสโซปิโคลนอย่างไร?

ควรเก็บยาเอสโซปิโคลนภายใต้อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส(Celsius) ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งตู้เย็น เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง ไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือในรถยนต์ และเก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสง/แสงแดด ความร้อนและความชื้น

เอสโซปิโคลนมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?

ยาเอสโซปิโคลน มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย เช่น

ชื่อการค้าบริษัทผู้ผลิต
Lunesta (ลูเนสต้า)Sunovion Pharmaceuticals Inc.

อนึ่งยาชื่อการค้าอื่นของยานี้ในต่างประเทศ เช่น Fulnite, Zolnite, Zopimin

บรรณานุกรม

  1. https://www.drugs.com/cdi/eszopiclone.html[2017,July8]
  2. https://en.wikipedia.org/wiki/Eszopiclone[2017,July8]
  3. https://www.drugs.com/drug-interactions/eszopiclone-index.html?filter=3&generic_only=#C[2017,July8]
  4. http://www.mims.com/philippines/drug/info/eszopiclone?mtype=generic[2017,July8]