เล่าเรื่องปวดหัว ตอนที่ 29 ปวดหัวไปทำไม

อัมพาต  360 องศา

สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน เราคุยกันมาก็นานพอสมควรเกี่ยวกับอาการปวดหัวสารพัดชนิด สารพัดรูปแบบ อย่างที่ผมกล่าวไปตั้งแต่ต้นว่าอาการปวดหัวส่วนมากแล้วนั้น เกิดจากสาเหตุที่ไม่ร้ายแรง ไม่มีรอยโรคในสมอง หรือพูดง่ายๆ ว่าอาการปวดหัวส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง สามารถป้องกันได้ ถ้าเราดูแลสุขภาพเราให้ดี ไม่เครียด ไม่กังวล ไม่คิดมาก ไม่นอนดึก ไม่มีพฤติกรรมทำลายสุขภาพ ผมว่าก็ทำให้เรามีสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากอาการปวดหัวแล้วครับ

“หมอครับ ผมปวดหัวมานานมากแล้วครับ ปวดมากเวลาผมเครียดมากๆ ผมรับผิดชอบงานมากครับ ทั้งงานที่ทำงาน งานธุรกิจส่วนตัว งานของลูกๆ ที่ผมให้เขาไปช่วย เนื่องจากผมเป็นห่วงว่าลูกจะไม่มีงานทำ ก็เลยไปเปิดธุรกิจทั้งหอพัก ร้านสะดวกซื้อ ขายตรงอีก วันๆ ผมต้องคอยบริหารงานที่ทำงานให้ดี ดูแลลูกน้องให้ทำงานตามแผนการทำงาน เสร็จแล้วช่วงพักก็ไม่ได้พัก ต้องคอยแก้ปัญหาให้ลูกๆ เพราะเขายังไม่ค่อยมีประสบการณ์การทำธุรกิจ แค่ที่ผมเล่าให้หมอฟัง ผมก็เริ่มปวดหัวแล้วครับ”

ก็เป็นไปตามนั้นครับ ผมฟังผมก็ยังปวดหัวแทนเลยครับ ผมก็เลยบอกคนไข้ไปว่า “น้าครับ ผมฟังน้าเล่า ผมก็เริ่มปวดหัวแล้วครับ เหตุที่ทำให้ปวดหัวของน้าก็ชัดเจนว่าเป็นจากความเครียด และก็ทานยาแก้เครียด แก้ปวดมาตลอด ไม่หายดีก็เลยมาหาผมในวันนี้ เพื่อให้การรักษาให้หาย ผมว่าอาจจะยากล่ะครับ เพราะสาเหตุน้าก็รู้ แต่ไม่ได้แก้ไขที่สาเหตุ เมื่อมีสาเหตุที่แน่ชัด แต่ไม่ได้แก้ไข แล้วมันจะหายได้อย่างไรครับ”

“หมอครับ หมอก็พูดง่ายครับ ให้ผมแก้ที่สาเหตุ คือ ความเครียด แล้วหมอคิดว่างานมากมายแบบนี้ ผมจะไม่เครียดได้อย่างไรครับ ใครๆ ก็ต้องรอการตัดสินใจ รอให้ผมช่วยแก้ปัญหา รอให้ผมอนุมัติ และไม่ว่าเกิดปัญหาอะไร ต้องการอะไร ก็ผมหมด ยังภรรยาผมอีกเป็นโรคความดันโลหิตสูง ผมเครียดครับหมอ” ผู้ป่วยเล่าแบบบ่นๆ ให้ฟังต่อ

ผมก็ไม่รู้จะไปทางไหนแล้วครับ เจอแบบนี้ ก็เลยบอกว่า “ น้าครับ น้าว่าผมยุ่งหรือเปล่า หมอที่โรงพยาบาลยุ่งหรือเปล่า คนไข้อื่นๆ ที่มาหาหมอเขายุ่งเปล่า นายกรัฐมนตรีเขายุ่งหรือเปล่า ทุกคนก็ยุ่ง ก็เครียด ผมมั่นใจว่านายกรัฐมนตรีไม่น่าจะมีงานน้อยกว่าน้านะครับ เรื่องเครียดๆ ทั้งนั้นเลย ผมก็ไม่เห็นท่านปวดหัวหรือเครียดเท่าน้าเลย” เล่นแบบนี้เลยครับ แต่ผู้ป่วยก็ไม่ยอมง่ายๆ ครับ

“หมอก็ว่าไป เล่นถึงนายกเลย หมอรู้ได้อย่างไรว่านายกไม่เครียดครับ ผมว่าท่านก็เครียด แต่หมออาจไม่รู้ก็ได้ครับ แต่ผมก็เข้าใจหมอนะว่าพยายามจะบอกว่าอย่าเครียด อย่าคิดมาก ก็เหมือนกับที่หมอท่านอื่นๆ ที่ผมเคยพบมาครับ พูดง่ายแต่ทำยากครับ ผมกลัวว่าลูกๆ จะไม่สามารถดูแลกิจการต่างๆ ได้ ผมก็เลยต้องกำกับติดตามตลอด”

ผมจะไปแบบไหนดี พอดีวันนี้มีคนไข้ไม่มาก มีเวลาต่อล้อต่อเถียงกับผู้ป่วยได้มาก ก็เลยบอกว่า “น้าเคยอ่านหนังสือ พ่อแม่รังแกฉันหรือเปล่า มันจะคล้ายๆ กับที่น้าทำตอนนี้ คือ เป็นห่วงลูก ทำให้ลูกหมดทุกอย่าง แล้วสมมุติว่าถ้าน้าเป็นอะไรไป แล้วลูกจะทำอย่างไร น้าลองนึกดูว่าน้าเคยไม่สบาย ขาดงานหรือไม่ แล้วที่ทำงานเขาทำได้หรือเปล่า งานทุกอย่างเขาหยุดไปเลยหรือไม่ ถ้าหยุดนิ่งหมด น้าก็คิดถูก แต่ถ้าไม่หยุด ก็หมายความว่าคุณน้าคิดผิดครับ คนอื่นๆ ก็สามารถทำงานของเขาได้โดยขาดเราได้ คุณน้าลองนำไปคิดดูครับ” สรุปผมไม่ได้ให้ยาอะไรครับ ได้แต่พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันครับ

ผ่านไปนานจนผมลืมไปแล้ว แต่ว่าผู้ป่วยรายนี้กลับมาพบผมอีก พร้อมกับบอกว่า”หมอยัง hot เหมือนเดิม คนไข้เยอะนะครับ ผมขอเวลานิดครับ วันนี้ไม่ได้มาปรึกษาหมอ แต่แวะมาทักทายเฉยๆ ว่า ผมหายปวดหัวแล้วครับ” อ้าว ผมแปลกใจปนดีใจที่คุณน้าหายปวดหัวได้อย่างไร

ผู้ป่วยพูดต่อว่า “ตั้งแต่ที่ผมได้มาพบหมอ ผมก็กลับไปคิดตามที่หมอบอก คิดไปคิดมาก็ไปหยิบหนังสือธรรมเล่มหนึ่งมาอ่าน มีประโยคหนึ่งเขียนไว้ว่า “ทุกข์ก็เหมือนหิน ถ้าเอามาถือเอาไว้มันก็หนัก แต่ถ้าเราวางไว้เฉยๆ มันก็ไม่หนัก” เมื่อผมอ่านประโยคนี้จบ บวกกับที่หมอบอกไว้ ผมก็อุทานมาว่า “กูจะปวดหัวไปทำไม” แล้วหลังจากนั้นผมก็วางแผนวางมือไปทีละกิจกรรม ตอนนี้ผมไปเที่ยวพักผ่อนเป็นหลักครับ อาการปวดหัวไม่มาเยือนผมอีกเลย

“ขอบคุณครับหมอ ผมไปแล้ว หมอก็อย่าลืมปล่อยวางบ้างนะครับ ตรวจคนไข้มาก ๆเดี๋ยวปวดหัวนะครับ” ถูกเหน็บก่อนกลับจนได้ครับ แต่ก็สนุกดีครับ ได้เรียนรู้จากคนหลากหลายอาชีพ