เล่าเรื่องปวดหัว ตอนที่ 24 ปวดหัว…ถูกตัดขา…ช่วยด้วย

อัมพาต  360 องศา

ปวดหัวไมเกรนเป็นโรคที่พบบ่อยมากๆ และผมว่าบางครั้งก็มีการบอกว่าเป็นโรคไมเกรนมากเกินความจริงด้วย คนส่วนใหญ่เมื่อมีอาการปวดหัวข้างเดียวก็บอกว่าเป็นไมเกรน เมื่อคิดว่าตนเองเป็นไมเกรนก็ซื้อยามาทานเอง ยาที่ซื้อก็คือยาคาเฟอก็อต พออาการดีขึ้น ก็เลยมั่นใจว่าเป็นไมเกรน พอทานไปทานมาก็เริ่มไม่ได้ผล มีอาการปวดหัวบ่อยขึ้น แรงขึ้น ยิ่งใช้ยามากขึ้นก็ปวดหัวมากขึ้น เกิดการใช้ยาทุกวัน ย่อมมีผลเสียจากการใช้ยาแน่นอน ลองติดตามดูครับว่าผลเสียที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาคาเฟอก็อตมีอะไรบ้าง

ผมได้รับการแจ้งจากแพทย์ห้องฉุกเฉินว่ามีพยาบาลมาตรวจที่ห้องฉุกเฉินด้วยอาการขาเขียวคล้ำ ผมจึงรีบไปดู เพื่อประเมินอาการและจัดหาเตียงเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ได้รายละเอียดว่า ผู้ป่วยเป็นโรคปวดศีรษะไมเกรน ทานยาคาเฟอก็อตเป็นประจำ โดยไม่ได้พบแพทย์ จึงไม่ได้มีประวัติการรักษาในเวชระเบียน เมื่อสัปดาห์ก่อนถูกเข็มตำ จึงต้องทานยาป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ช่วงนี้ปวดหัวมากขึ้น เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับการโดนเข็มตำ จึงทานยาคาเฟอก็อตมากขึ้น ต่อมามีอาการขาเขียวคล้ำมากขึ้น ปวดขามากขึ้น ชาขามากขึ้น วันนี้เป็นมากขึ้น จึงรีบมาโรงพยาบาล

นอกจากนี้ยังทานยาฆ่าเชื้อเพราะช่วงนี้มีไข้ไอ น้ำมูก เมื่อผมได้ข้อมูลทั้งหมดก็เข้าใจว่า ผู้ป่วยเกิดภาวะ ergotism (ขาขาดเลือดจากการหดตัวของหลอดเลือด) เนื่องมาจากผู้ป่วยทานยาคาเฟอก็อต ยาฆ่าเชื้อ ยาต้านไวรัสเอชไอวี ซึ่งมีการตีกันของยา (drug interaction) ทำให้มีการเสริมฤทธิ์ของยาคาเฟอก็อตอย่างมาก จึงทำให้มีการหดตัวของหลอดเลือดอย่างมาก จนส่งผลให้เกิดการขาดเลือดมาเลี้ยงที่เท้า ยังโชคดีที่มาพบแพทย์เร็ว หยุดยาได้ทัน อาการจึงค่อยๆ ดีขึ้น แต่ถ้ามาช้าก็อาจต้องเสียเท้าหรือขาได้ ซึ่งในแต่ปีมีผู้ป่วยต้องถูกตัดขา เพราะเกิดจากการทานยาดังกล่าวทุกปี เราต้องหาทางป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนนี้ครับ

การทานยาคาเฟอก็อตโดยไม่จำเป็น และไม่ได้รักษาโรคปวดศีรษะไมเกรนด้วยนั้น ถือว่าเป็นการรักษาโรคปวดศรษะไมเกรนที่ไม่เหมาะสม เพราะการทานยาแก้ปวดเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอต่อการรักษาครับ เราต้องรักษาโรคปวดศีรษะไมเกรนด้วยการทานยาเพื่อป้องกันด้วย นอกจากนี้การทานยาเองต้องระมัดระวังการตีกันของยาด้วยครับ เพราะยาคาเฟอก็อตนั้นมีการตีกันของยาได้ง่าย โปรดระวัง ถ้าท่านใช้ยาคาเฟอก็อตไม่ถูกต้อง อาจถูกตัดขาได้