เล่าเรื่องปวดหัว ตอนที่ 23 ปวดหัว เวียนหัวไม่หาย

อัมพาต  360 องศา

ปวดหัวก็ยุ่งแล้ว ยังมีอาการวิงเวียนหัวอีก ยิ่งไปกันใหญ่ แต่หลายคนก็เป็นแบบนี้ ทั้งปวดหัว วิงเวียนหัว เมื่อเป็นแบบนี้ใครๆ ก็ย่อมกลัวว่าตนเองจะเป็นโรคร้ายแรง ลองติดตามเรื่องเล่าต่อไปนี้ครับว่า อาการดังกล่าวเกิดจากอะไร

“หมอครับช่วยผมด้วย ผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ มีอาการปวดหัว เวียนหัว เป็นๆ หายๆ มาตลอดเกือบ 10 ปีมาแล้ว ผมตะเวนหาหมอมานับไม่ถ้วน ก็ไม่เห็นจะหายเลย เอกซเรย์สมอง เอ็มอาร์ไอสมองตรวจเลือด ตรวจการได้ยิน ทุกอย่างก็ปกติ แต่ก็ไม่เห็นจะหาย ผมว่าจะไปหาหมอผีแล้วครับ เพราะรดน้ำมนตร์ผมก็เคยแล้ว”

ฟังดูแล้วน่าจะเป็นปัญหาเรื้อรังแน่ๆ ทั้งโรคที่เรื้อรัง และปัญหาทางการรักษาที่เรื้อรัง อย่างนี้หมอต้องทำการรักษาทั้งโรคและจิตใจด้วยไม่ว่าจะเกิดจากอะไรก็ตาม ผมจึงเริ่มขั้นตอนเดิมที่เป็นมาตรฐาน คือ การสอบถามข้อมูลการเจ็บป่วยที่เป็นลำดับขั้น แบบสอบสวนคดีเลยครับ ผมได้บอกให้ผู้ป่วยเล่าให้ละเอียดตั้งแต่ต้นที่มีอาการผิดปกติเล็ก ๆน้อยๆ จนถึงปัจจุบัน โดยให้เล่าความจริง ไม่ต้องใส่ความคิดเห็นใดๆ

ลำดับความคือว่า เมื่อ 10 ปีก่อนผู้ป่วยขับรถเกิดอุบัติเหตุอย่างแรง หมดสติไปหลายชั่วโมง เอกซเรย์แล้วไม่พบว่าเลือดออกในสมอง แต่หมอบอกว่ามีสมองช้ำทั่วๆ ไป ไม่ได้ผ่าตัด หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผู้ป่วยก็จะมีปัญหาปวดหัว วิงเวียน บ้านหมุนเป็นๆ หายๆ บางครั้งแรง บางครั้งไม่แรง ผู้ป่วยก็เริ่มรักษามาตั้งแต่ต้น หมอที่รักษาทุกคนก็บอกว่าไม่เป็นอะไร ไม่พบความผิดปกติ ผู้ป่วยก็ได้รับการตรวจเอกซเรย์ เอ็มอาร์ไอสมองหลายรอบ ก็ไม่พบความผิดปกติ ผู้ป่วยก็ยิ่งกลุ้มใจว่าเป็นอะไร มะเร็งหรือเปล่าถึงเรื้อรัง ไม่หายและตรวจไม่พบ มันต้องเป็นมะเร็งแน่ๆ เลย ด้วยความกังวลแบบนี้จึงได้ไปพบจิตแพทย์ และได้ยามาทาน ก็เกิดอาการง่วงนอน มึนศีรษะมากขึ้น จึงมาหาหมอวันนี้

พอได้รายละเอียดการเจ็บป่วยแบบนี้ ก็ทำให้ผมง่ายขึ้นมากครับ เพราะมีประวัติการเกิดอุบัติเหตุต่อสมองรุนแรง แล้วมีอาการปวดหัว เวียนหัวตามมาภายหลัง อาการเป็นๆ หายๆ โดยที่ตรวจทุกอย่างก็ปกติ ผมเห็นว่าแบบนี้น่าจะเป็นภาวะปวดศีรษะจากการได้รับอุบัติเหตุรุนแรงที่ศีรษะทำให้เกิดอาการดังกล่าว ซึ่งอาการแบบนี้จะเป็นเรื้อรัง ไม่หายขาด เป็นแบบรำคาญมากกว่าที่จะส่งผลอันตรายต่อชีวิต

ผมรักษาผู้ป่วยรายนี้ด้วยการแนะนำ อธิบายให้เข้าใจว่าโรคที่เกิดนั้นคืออะไร ไม่มีอันตรายต่อชีวิตใด และที่ตรวจมาทั้งหมดไม่พบความผิดปกติก็เป็นสิ่งที่ดี และยืนยันว่าไม่มีโรคใดๆ ที่อันตราย การรักษาที่ดีที่สุด คือ การเข้าใจธรรมชาติของโรค และยอมรับในผลการรักษาว่าเป็นอย่างไร และถ้ายังไม่ดีขึ้นก็ใช้ธรรมเข้าช่วย เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิดและการปล่อยวางครับ