เฟลอร์บิโพรเฟน (Flurbiprofen)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

ยาเฟลอร์บิโพรเฟน (Flurbiprofen) เป็นอนุพันธุ์ของกรดฟีนิลอัลคาโนอิก (Phenyl alkanoic acid, สารธรรมชาติชนิดหนึ่งพบได้ในพืชในสัตว์บางชนิด) และจัดเป็นยาประเภทเอ็นเซดส์ (NSAIDs) ทางคลินิกใช้รักษาอาการปวดจากโรคข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis) ปวดจากข้อเสื่อม รวมถึงอาการปวดฟัน หรือปวดประจำเดือน

รูปแบบยาแผนปัจจุบันของยาเฟลอร์บิโพรเฟนจะเป็นยารับประทานยาเม็ดอมแก้เจ็บคอ และยาหยอดตา การดูดซึมยานี้จากระบบทางเดินอาหารจะเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ การรับประทานยานี้พร้อมอาหารจะทำให้การดูดซึมยานี้ช้าลง แต่ก็มีข้อดีคือช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองของกระเพาะ อาหารและลำไส้ หลังรับประทานยานี้ประมาณ 1 - 2 ชั่วโมงยาจึงจะเริ่มออกฤทธิ์

ยาเฟลอร์บิโพรเฟนในกระแสเลือดสามารถซึมเข้าสู่น้ำนมของมารดาได้ และยังรวมตัวกับพลาสมาโปรตีนได้มากกว่า 99% ตับจะเป็นอวัยวะที่คอยเปลี่ยนแปลง/ทำลายโครงสร้างของยานี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 3 - 6 ชั่วโมงในการกำจัดยานี้ออกจากกระแสเลือด โดยผ่านทิ้งไปกับปัสสาวะ

ผู้บริโภค/ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเฟลอร์บิโพรเฟนหากมีประวัติทางคลินิกดังต่อไปนี้

  • เคยแพ้ยานี้หรือแพ้ส่วนประกอบในสูตรตำรับยาเฟลอร์บิโพรเฟน
  • มีประวัติการแพ้ยาอื่นๆที่มีอาการผื่นคันอย่างรุนแรง วิงเวียน และหายใจไม่ออก/หายใจลำ บาก
  • อยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์และอยู่ในภาวะให้นมบุตร
  • เพิ่งได้รับการผ่าตัดหลอดเลือดบริเวณหัวใจ
  • มีประวัติป่วยด้วยโรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน เป็นแผลในกระเพาะอาหาร-ลำไส้ (โรคแผลเปบติค) มีเลือดออกในทางเดินอาหาร โรคความดันโลหิตสูง ป่วยด้วยอาการหอบหืด ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำหรือติดสุรา
  • ผู้ที่มีการใช้ยาอื่นๆบางประเภทหากได้รับยาเฟลอร์บิโพรเฟนร่วมด้วยจะทำให้เสี่ยงกับการเกิดเลือดออกในกระเพาะอาหาร ยากลุ่มดังกล่าวเช่น Warfarin, Aspirin, Heparin ยากลุ่ม Cortico steroids อย่างเช่น Prednisolone ยากลุ่ม SSRIs อย่างเช่น Fluoxetine
  • ยาอื่นบางกลุ่มอาจทำให้ผู้ป่วยได้รับอาการข้างเคียง (ผลข้างเคียง) จากยานั้นๆเพิ่มมากขึ้นหากใช้ร่วมกับยาเฟลอร์ไบโพรเฟนเช่นยา Cyclosporin, Lithium, Methotrexate ยากลุ่ม Quino lones อย่างเช่น Ciprofloxacin หรือยากลุ่ม Sulfonylureas อย่างเช่น Glipizide
  • กลุ่มยารักษาโรคความดันโลหิตสูง (ยาลดความดันโลหิต) อาจถูกยาเฟลอร์บิโพรเฟนเข้ารบกวนการออกฤทธิ์จนทำให้ประสิทธิภาพของการรักษาความดันโลหิตสูงด้อยลง ตัวอย่างยารักษาความดันโลหิตสูงดังกล่าวเช่น ยากลุ่ม ACE inhibitors อย่างเช่นยา Enalapril, ยากลุ่ม Beta-blockers อย่างเช่นยา Propranolol, ยาขับปัสสาวะอย่างเช่นยา Furosemide และ Hydrochloro thiazide เป็นต้น

ยาเฟลอร์บิโพรเฟนยังสามารถก่อให้เกิดอาการข้างเคียงโดยทั่วไปได้เช่น ท้องผูกหรือไม่ก็ท้องเสีย วิงเวียน ง่วงนอน ปวดศีรษะ แสบร้อนกลางอก คลื่นไส้ และรู้สึกไม่สบายในช่องท้อง เป็นต้น

สำหรับผู้ที่ได้รับยาเฟลอร์บิโพรเฟนเกินขนาดอาจสังเกตได้จากมีอาการปัสสาวะน้อยลง เกิดลมชัก วิงเวียนอย่างรุนแรง หรือถึงขั้นครองสติไม่อยู่ ปวดท้อง และคลื่นไส้อย่างรุนแรง หายใจขัด/หายใจลำบาก หายใจช้าลง อาเจียนอาจมีสีคล้ำเหมือนกาแฟ/อาเจียนเป็นเลือด หากพบอาการดังกล่าวต้องรีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วทันที/ฉุกเฉิน

นอกจากนั้นการใช้ยาเฟลอร์บิโพรเฟนอย่างขาดความระมัดระวังอาจเป็นเหตุให้มีการทำงานของหัวใจและหลอดเลือดเกิดความผิดปกติ หรือเกิดแผลในระบบทางเดินอาหาร และมีภาวะเลือดออกในระบบทางเดินอาหารตามมา อาการผิดปกติต่างๆที่เกิดขึ้นหลังการใช้ยาเฟลอร์บิโพรเฟนอาจมีพัฒนาการขึ้นทีละน้อยๆโดยที่ตัวผู้ป่วยเองก็อาจไม่ทราบเช่นกัน จนกระทั่งอาการดังกล่าวแสดงผลออกมา จึงเป็นเหตุผลเพียงพอที่ผู้ป่วยจะต้องใช้ยานี้ตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัดและไม่ไปหาซื้อยาเฟลอร์บิโพรเฟนมารับประทานเอง

ยังมีข้อมูลรายละเอียดอีกมากเกี่ยวกับการใช้ยาเฟลอร์บิโพรเฟนที่ไม่สามารถนำมาลงในบทความได้หมด หากผู้ป่วยต้องการทราบข้อมูลการใช้ยานี้เพิ่มเติมสามารถสอบถามได้จากแพทย์ผู้รักษาหรือจากเภสัชกรได้โดยทั่วไป

เฟลอร์บิโพรเฟนมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) อย่างไร?

เฟลอร์บิโพรเฟน

ยาเฟลอร์บิโพรเฟนมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้เพื่อ

  • รักษากระดูกและข้ออักเสบ (Osteoarthritis)
  • รักษาโรคข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)
  • เป็นยาบรรเทาอาการปวดเช่น ปวดประจำเดือน

เฟลอร์บิโพรเฟนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?

ยาเฟอร์บิโพรเฟนมีกลไกการออกฤทธิ์โดย ตัวยาจะยับยั้งการสังเคราะห์สารโพรสตาแกลนดิน(Prostaglandin) จากเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกายส่งผลชะลอกระบวนการอักเสบของเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆ เป็นผลให้เกิดฤทธิ์ระงับปวดตามสรรพคุณ

เฟลอร์บิโพรเฟนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?

ยาเฟลอร์บิโพรเฟนที่จำหน่ายในประเทศไทยมีรูปแบบการจัดจำหน่ายเป็นยาเม็ดชนิดรับประทานขนาด 50 และ 100 มิลลิกรัม/เม็ด

เฟลอร์บิโพรเฟนมีขนาดรับประทานอย่างไร?

ยาเฟลอร์บิโพรเฟนมีขนาดรับประทานเช่น

ก. สำหรับอาการปวดกระดูก/ข้อกระดูก (Osteoarthritis) และอาการปวดจากโรคข้อรูมา ตอยด์:

  • ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป: รับประทานยาครั้งละ 50 มิลลิกรัมวันละ 4 ครั้ง หรือรับประทาน ยาครั้งละ 100 มิลลิกรัมวันละ 3 ครั้ง ขนาดรับประทานสูงสุดไม่เกิน 300 มิลลิกรัม/วัน

ข. สำหรับการปวดประจำเดือน:

  • ผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป: รับประทานยาครั้งละ 50 มิลลิกรัมวันละ 4 ครั้ง

*อนึ่ง:

  • ในเด็กและผู้อายุต่ำกว่า 18 ปี: ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในผู้ป่วยกลุ่มอายุนี้
  • ควรรับประทานยานี้พร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที
  • การใช้ยานี้กับผู้ป่วยด้วยโรคตับโรคไตควรใช้ขนาดยาต่ำสุดเท่าที่ทำให้อาการปวดดีขึ้น

*****หมายเหตุ: ขนาดและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาเฟลอร์บิโพรเฟน ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกร ดังนี้

  • ประวัติแพ้ยาทุกชนิดเช่น กินยา/ใช้ยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
  • มีโรคประจำตัวต่างๆรวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาเฟลอร์บิโพรเฟนอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
  • หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรกและเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้

หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?

หากลืมรับประทานยาเฟลอร์บิโพรเฟนสามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดรับประทานเป็น 2 เท่า

อย่างไรก็ตามเพื่อประสิทธิผลของการรักษาควรรับประทานยาเฟลอร์บิโพรเฟนตรงเวลา

เฟลอร์บิโพรเฟนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?

ยาเฟลอร์ไบโพรเฟนสามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง) ต่อระบบอวัยวะต่างๆของร่างกายดังนี้เช่น

  • ผลต่อระบบทางเดินอาหาร: เช่น เกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ (แผลเปบติค) อาหารไม่ย่อย ท้องเสียหรือท้องผูก คลื่นไส้ ปวดท้อง อาเจียน กระเพาะอาหารอักเสบ ท้องอืด มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร อุจจาระเป็นเลือด
  • ผลต่อการทำงานของตับ: เช่น เกิดภาวะตับอักเสบ ดีซ่าน
  • ผลต่อการทำงานของไต: เช่น ปัสสาวะมีเลือดปน/ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะมีสีเข้ม ปัสสาวะน้อย เกิดภาวะไตวาย
  • ผลต่อผิวหนัง: เกิดผื่นคัน ผิวแพ้แสงแดดง่าย
  • ผลต่อระบบเลือด: เช่น ปริมาณฮีโมโกลบินในเลือดลดลงทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ (Leukopenia) เม็ดเลือดขาวชนิด Eosinophilia สูง และเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocy topenia)
  • ผลต่อระบบประสาท: เช่น ปวดศีรษะ กระสับกระส่าย นอนไม่หลับหรือง่วงนอน ซึมเศร้า รู้สึกสับ สน เกิดความรู้สึกสัมผัสเพี้ยน และอาจมีภาวะชัก
  • ผลต่อการทำงานของหัวใจ: เช่น ทำให้มีอาการบวมของร่างกาย ความดันโลหิตสูง
  • ผลต่อการมองเห็น: เช่น การมองเห็นภาพผิดปกติ

มีข้อควรระวังการใช้เฟลอร์บิโพรเฟนอย่างไร?

มีข้อควรระวังการใช้ยาเฟลอร์บิโพรเฟนเช่น

  • ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยาชนิดนี้หรือแพ้ส่วนประกอบในตำรับยานี้
  • ห้ามใช้ยานี้กับสตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร และเด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปีลงมา
  • ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยด้วยโรคหืด ผู้มีอาการแพ้ทางผิวหนังอย่างเช่น เป็นลมพิษ
  • ห้ามปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง
  • ระวังการใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่มีประวัติด้วยโรคหลอดเลือด โรคหัวใจ โรคตับ และโรคไต รวมถึงระหว่างการใช้ยานี้ผู้ป่วยควรเฝ้าระวังเรื่องความดันโลหิตและเรื่องการทำงานของตับ-ไตควบคู่กันไป
  • หากพบอาการแพ้ยานี้อย่างเช่น อึดอัด/หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก ผื่นคันขึ้นเต็มตัว ให้หยุดการใช้ยานี้ทันทีแล้วรีบนำผู้ป่วยมาโรงพยาบาลโดยเร็วทันที/ฉุกเฉิน
  • กรณีใช้ยานี้ตามระยะเวลาที่เหมาะสมแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรกลับมาพบแพทย์/มาโรงพยา บาลเพื่อแพทย์พิจารณาปรับแนวทางการรักษา
  • ผู้ป่วยอาจได้รับอาการข้างเคียงบางอย่างที่อาจก่อผลเสียตามมาอย่างเช่น มีเลือดปนมากับอุจจาระ/อุจจาระเป็นเลือด หรือปัสสาวะเป็นเลือด ความดันโลหิตสูง ปวดท้องอย่างรุนแรง หากพบอาการดังกล่าวไม่ควรเพิกเฉย ควรรีบมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลโดยเร็วเพื่อแพทย์พิจารณาปรับแนวทางการรักษา
  • ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
  • ห้ามใช้ยาหมดอายุ
  • ห้ามเก็บยาหมดอายุ

***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาเฟลอร์บิโพรเฟนด้วย) ยาแผนโบราณทุกชนิดและสมุนไพรต่างๆ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกประเภท(อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ

เฟลอร์บิโพรเฟนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?

ยาเฟลอร์บิโพรเฟนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นเช่น

  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาเฟลอร์บิโพรเฟนร่วมกับยารักษาความดันโลหิตสูง/ยาลดความดันโลหิต อย่างเช่น ยากลุ่ม ACE inhibitors ยากลุ่ม Angiotensin II receptor antagonist และยากลุ่ม Beta-blockers ด้วยยาเฟลอร์บิโพรเฟนจะทำให้ประสิทธิภาพของยาลดความดันโลหิตดังกล่าวลดน้อยลง
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาเฟลอร์บิโพรเฟนร่วมกับยา Lithium และยา Methotrexate ด้วยยาเฟลอร์ บิโพรเฟนจะเพิ่มความเป็นพิษของยากลุ่มดังกล่าวต่อร่างกายมากขึ้น
  • ห้ามใช้ยาเฟลอร์บิโพรเฟนร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือดอย่าง Warfarin เพราะจะก่อให้เกิดความเสี่ยงของเลือดออกง่ายตามอวัยวะต่างๆของร่างกาย

ควรเก็บรักษาเฟลอร์บิโพรเฟนอย่างไร?

ควรเก็บยาเฟลอร์บิโพรเฟนในช่วงอุณหภูมิ 15 - 25 องศาเซลเซียส (Celsius) ไม่เก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด ความร้อนและความชื้น และไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือในรถยนต์

เฟลอร์บิโพรเฟนมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?

ยาเฟลอร์บิโพรเฟนที่จำหน่ายในประเทศไทย มียาชื่อการค้าและบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายเช่น

ชื่อการค้าบริษัทผู้ผลิต
Ansaid (แอนเซด)pfizer

บรรณานุกรม

  1. http://www.drugs.com/cdi/flurbiprofen.html [2016,June11]
  2. https://en.wikipedia.org/wiki/Flurbiprofen [2016,June11]
  3. http://www.mims.com/thailand/drug/info/flurbiprofen?mtype=generic [2016,June11]
  4. http://www.medicinenet.com/flurbiprofen/article.html [2016,June11]
  5. http://www.webmd.com/drugs/2/drug-10612/ansaid-oral/details# [2016,June11]
  6. http://www.accessdata.fda.gov/drugsatfda_docs/label/2010/018766s015lbl.pdf [2016,June11]