เข้าครัวกับโภชนากร (โรงพยาบาล) :ตอน มะรุมมะตุ้ม

จากเดิมเคยเป็นที่รู้จักในฐานะผักที่ใช้ประกอบอาหารประเภทแกงส้ม ปัจจุบัน “มะรุม” (Moringa; Moringa oleifera) กลายเป็นพืชที่โดดเด่นด้วยตัวของมันเองแบบมาเร็วและแรงดีไม่มีตกอย่างน่าประหลาดใจ ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ทั้งตลาดนัดระดับตำบลจนถึงร้านขายสินค้าเพื่อสุขภาพมีระดับ ต่างก็มีผลิตภัณฑ์ มะรุม ขายกันทั้งนั้น ตั้งแต่ เมล็ดแห้งแบบไม่แปรรูป ชนิดที่ก่อนกินต้องทำใจเพราะรสชาติขมติดปาก ติดคอ ไปจนถึงแคปซูลใบและเมล็ด และน้ำมันเมล็ดมะรุม

เมื่อสืบค้นกลับไปถึงที่มาของกระแสมะรุม ที่กำลังบูมในบ้านเรา พบว่าเพิ่งโด่งดังเมื่อปีสองปีมานี้เอง และข้อมูลที่นำมาอ้างอิงส่วนใหญ่ทั้งในหนังสือ นิตยสารเพื่อสุขภาพ หรือแม้แต่ในเว็บไซต์ดังๆ ก็ล้วนมาจากต้นตอเดียวกัน นั่นคือองค์กรไม่แสวงผลกำไรชื่อว่า Trees for Life International ที่ยกให้มะรุมเป็นพืชเพื่อชีวิต เพราะทุกส่วนประกอบไม่ว่าใบ ดอก ฝัก เมล็ด เปลือกลำต้น หรือราก ล้วนอุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญทั้งในเชิงโภชนาการและเชิงการแพทย์ โดยเฉพาะใบมะรุมมีคุณค่าทางโภชนาการชนิดที่องค์กรนี้มุ่งหวังว่าจะแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการของโลกใบนี้ได้เลยทีเดียว

การศึกษาเรื่องการใช้ผงใบมะรุมรักษา โรคทุพโภชนาการในหญิงมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร ในประเทศเซเนกัล ผลการศึกษาพบว่าเด็กมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในอัตราคงที่และสูงขึ้น สุขภาพโดยรวมดีขึ้น ในหญิงมีครรภ์หายจากอาการเลือดจางและให้กำเนิดทารกน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ส่วนหญิงให้นมบุตรมีปริมาณน้ำนมเพิ่มขึ้น ขณะนี้กำลังทำการทดลองซ้ำในประเทศกานา แท้จริงมะรุมเป็นพืชที่ได้รับความสนใจในแวดวงนักการแพทย์มานานแล้ว ในยุคโรมันกรีก และอียิปต์ มีการสกัดเมล็ดเพื่อทำโลชั่นทาผิวและน้ำหอม แพทย์พื้นบ้านในกัวเตมาลาใช้ใบแก้โรคผิวหนังติดเชื้อ ปวดแสบปวดร้อน ในมาเลเซียและเวเนซุเอลาใช้ใบแก้โรคพยาธิ ส่วนดินแดนที่รุ่งเรืองทางการแพทย์มาตั้งแต่ยุคโบราณอย่างอินเดีย ยิ่งใช้ประโยชน์จากมะรุมแก้สรรพโรค เช่น โรคเลือดจาง หอบหืด สิวหัวช้าง ไอ ท้องเสีย ติดเชื้อในหูหรือตา ลดไข้ ลดความเครียด ฯลฯ ในบ้านเราว่ากันว่าการกินแกงส้ม (ฝัก) มะรุมช่วยแก้โรคไข้หัวลม

เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้คนไทยจะคุ้นเคยกับมะรุมมานาน แต่ก็เป็นการรู้จักในเชิงอาหาร ส่วนกระแสการใช้มะรุมเป็นยา และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้นถูกผลักดันมาจากภายนอก แคปซูลมะรุมที่วางขายในร้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพก็นำเข้าจากต่างประเทศ เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งมีกลุ่มแม่บ้านบางแห่งเริ่มตื่นตัวผลิตแคปซูลใบและเมล็ดมะรุมออกวางจำหน่ายเป็นสินค้าโอทอปขายดีเป็นเทน้ำเทท่า โดยผู้บริโภคเชื่อว่ามะรุมเป็นดุจยาเทวดา แก้ได้ทุกโรค ไม่ว่ามะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคไขข้อ ลดไขมันในเส้นเลือด ชะลอความแก่และอื่นๆ อีกมากมาย

อย่างไรก็ตามหากคิดจะกินมะรุมเป็นยารักษาโรคก็ควรกระทำด้วยความระมัดระวัง องค์กร Trees for Life International ได้ออกวารสารนำเสนอความก้าวหน้าของงานวิจัยเกี่ยวกับมะรุมทั่วโลก ระบุว่าปัจจุบันมีงานวิจัยยุคใหม่เกี่ยวกับมะรุมประมาณ 750 ชิ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ และการทดลองในห้องปฏิบัติการเป็นการทดลองกับสัตว์ ไม่ใช่มนุษย์ แม้มีงานวิจัยน้อยชิ้นมากที่ระบุว่ามะรุมส่งผลกระทบด้านลบต่อมนุษย์ แต่ก็ยังมีความต้องการงานวิจัยรองรับอีกมาก โดยเฉพาะการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของใบมะรุมต่างสายพันธุ์ที่เติบโต ต่างสถานที่ การวิจัยการเตรียมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและปริมาณการกินที่เหมาะสม และการทดสอบทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ข้ออ้างสรรพคุณเชิงการแพทย์ในการ รักษาโรคต่างๆ เป็นต้น

หากจะแย้งว่าเรากินมะรุมกันมาตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ไม่เห็นเป็นอะไร แต่โปรดอย่าลืมว่าปีหนึ่งๆ เรากินแกงส้มมะรุม และใบมะรุมลวกจิ้มน้ำพริกกันสักกี่ครั้งเชียว ด้วยเหตุนี้แนวทางที่น่าสนใจในการใช้ประโยชน์จากมะรุมก็คือแนวทาง "อาหารเป็นยา" โดยเฉพาะใบมะรุมซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่มีการศึกษาวิจัยและมีข้อมูลรองรับมากที่สุด ทั้งยังเป็นข้อมูลที่น่าทึ่ง โดยการศึกษาพบว่าใบมะรุมอุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ และยังมีกรดอะมิโนสำคัญ ที่ไม่พบในพืชทั่วไป จากการวิเคราะห์ปริมาณสารอาหารในใบมะรุมสด เปรียบเทียบกับพืชชนิดอื่นด้วยปริมาณเท่ากัน (กรัมต่อกรัม) พบว่าใบมะรุมสดมีวิตามินซี 7 เท่าของส้ม, วิตามินเอ 4 เท่าของแครอด, แคลเซียม 4 เท่าของนม, โพแทสเซียม 3 เท่าของกล้วยสุก และโปรตีน 2 เท่าของโยเกิร์ต

ส่วนผลการวิเคราะห์ปริมาณสารอาหารในใบมะรุมแห้งพบว่า ส่วนใหญ่ให้สารอาหารเพิ่มขึ้น ยกเว้นวิตามินซีที่ลดลง โดยในใบมะรุมแห้งมีวิตามินเอ 10 เท่าของแครอด, วิตามินซี o.5 เท่าของส้ม, แคลเซียม 17 เท่าของนม, โพแทสเซียม 15 เท่าของกล้วยสุก, ธาตุเหล็ก 25 เท่าของผักขม และโปรตีน 9 เท่าของโยเกิร์ต จากข้อมูลน่าทึ่งข้างต้น น่าจะทำให้แม่ครัวพ่อครัวทั้งหลายเกิดแรงบันดาลใจสร้างสรรค์เมนูอาหารใหม่ๆ จากมะรุมเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากแกงส้ม (ฝัก) มะรุมเจ้าเก่า วิธีหามะรุมที่ง่ายและแสนสะดวกราวกับมีร้านขายวิตามินอยู่ข้างบ้าน นั่นคือการปลูกมะรุมไว้ที่บ้านสักต้น มะรุมเป็นพืชปลูกง่ายโตง่าย ปลูกแค่ 2 ปีก็ออกดอกออกฝักให้ชื่นชม เก็บฝักได้เป็นหอบและเมล็ดหลายถุง คนโบราณเตือนว่าอย่าปลูกมะรุมใกล้บ้านเพราะชื่อไม่เป็นมงคล แต่แท้จริงแล้วน่าจะเป็นเพราะมะรุมเป็นพืชกิ่งเปราะหักง่ายเสียมากกว่า

รศ. ดร. สุธาทิพ ภมรประวัติ จากกลุ่มวิชาเภสัชโภชนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนผลการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในเชิงการแพทย์ไว้ในบทความเรื่อง "มะรุม ลดไขมันป้องกันมะเร็ง" ตีพิมพ์ในนิตยสาร หมอชาวบ้าน ฉบับเดือนมิถุนายน 2550 สรรพคุณของมะรุมในการชะลอความชรานั้นยังไม่พบรายงานการวิจัย แต่เนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์ ที่สำคัญคือ รูทิน และเควอเซทิน ซึ่งทั้งหมดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย ด้านการลดไขมันและคอเลสเตอรอล จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุมวันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน เทียบกับยาโลวาสแททิน (Lovastatin) 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวัน และให้อาหารไขมันสูง พบว่าทั้งกลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเตอรอล ฟอสโฟลิพิด ไตรกลีเซอไรด์ ปริมาณคอเลสเตอรอลต่อฟอสโฟลิพิด(phospholipid) และ atherogenic index ต่ำลงทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และหลอดเลือดแดงใหญ่ ส่วนกลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเตอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย

ถึงแม้มะรุม จะเป็นพืชที่มีประโยชน์มากมาย สามารถเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณ มิได้หมายความว่าคุณจะสามารถรับประทานได้ตามใจชอบ แล้วค่อยใช้มะรุมมาช่วย เพราะมะรุมไม่ใช่ยา ไม่ใช่อาหารวิเศษ ที่สำคัญคุณยังต้องดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม และลดความเครียด จึงจะช่วยให้คุณมีสุขภาพดีตลอดไป สุขภาพกาย–ใจ ดีได้ด้วยตัวคุณเองนะคะ

บรรณานุกรม

  1. www.tfljournal.org