อาร์เซนิกไตรออกไซด์ (Arsenic trioxide)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ (Arsenic trioxide)เป็นสารประกอบประเภทเกลืออนินทรีย์ สูตรทางเคมีคือ As2O3 ชื่อทางการค้าอาจเรียกว่า “ออกไซด์ของสารหนู” ซึ่งมีพิษร้ายแรง อาร์เซนิกไตรออกไซด์เป็นสารที่มีลักษณะเป็นผลึกแข็ง สีขาว ละลายน้ำได้ ประโยชน์ที่มนุษย์นำมาใช้ ได้แก่ เป็นองค์ประกอบในอุตสาหกรรมผลิตแก้ว อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อย่างเป็นสารกึ่งตัวนำ(Semiconductors) ในอดีตสารประกอบอาร์เซนิกถูกนำมาใช้ผลิตเป็นยาที่มีชื่อว่า “นีโอซาลวาร์ซาน (Neosalvarsan)” โดยเริ่มใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1912 (พ.ศ.2455) โดยนำมาใช้รักษาโรคซิฟิลิส ต่อมาเมื่อมนุษย์ค้นพบยาเพนิซิลลิน (Penicillin) ยานีโอซาลวาร์ซานจึงถูกยกเลิกการใช้ไป ทั้งนี้มีปัจจัยจากผลข้างเคียง/พิษของสารอาร์เซนิก/สารหนูเป็นเหตุผลสำคัญ

แม้จะทราบว่า สารอาร์เซนิกไตรออกไซด์มีความเป็นพิษร้ายแรง มนุษย์ก็ยังนำสารประกอบชนิดนี้มาผลิตเป็นยาแผนโบราณของจีนที่รู้จักกันในชื่อว่า “ผี-ชูว(Pi-shuang)” โดยระบุสรรพคุณดังนี้ ใช้ละลายเสมหะ ป้องกันโรคมาลาเรีย ใช้ฆ่าปรสิตต่างๆ ชำระแผลตามผิวหนัง รักษาโรคซิฟิลิส บำบัดอาการหอบหืดที่มีเสมหะร่วมด้วย

นอกจากนี้ สารประกอบอาร์เซนิกอินทรีย์ยังถูกนำไปใช้ผสในอาหารสัตว์ (Feed additives) สารดังกล่าวมีชื่อว่า “โรซาร์โซน (Roxarsone สูตรเคมีคือ C6AsNH6O6)” ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังมีข้อถกเถียงด้านความปลอดภัยของสารนี้

ประเทศในซีกโลกตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกายังอนุมัติการใช้สารอาร์เซนิกไตรออกไซด์นี้และยังเป็นที่ยอมรับประมาณ 14 ประเทศสำหรับเป็นยาแผนปัจจุบัน

ปัจจุบัน ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ยาเคมีบำบัดที่ใช้รักษาผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Acute promyelocytic leukaemia) โดยมีรูปแบบเภสัชภัณฑ์เป็นยาฉีด ซึ่งต้องฉีดให้ผู้ป่วยวันละ1ครั้ง และขนาดการใช้ยาสูงสุดไม่เกิน 50 ครั้ง

กลไกการออกฤทธิ์ของยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์จะโดย ตัวยาจะทำให้สารพันธุกรรมชนิดดีเอ็นเอ (DNA) ของเซลล์มะเร็งมีการเปลี่ยนแปลงรูปสัณฐานและตายลง

ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ สามารถก่อให้เกิดอาการข้างเคียง(ผลข้างเคียง)ต่อผู้ป่วยได้ อาทิเช่น เกิดการคลื่นไส้ อาเจียน ไอ อ่อนแรง มีไข้ ปวดศีรษะ ชีพจรเต้นเร็ว ปวดท้อง ท้องเสีย หายใจขัด/หายใจลำบาก ฯลฯ ผู้ป่วยที่ได้รับยานี้ส่วนมากจะมีอาการข้างเคียงเพียงไม่กี่อาการ แต่กรณีที่พบอาการข้างเคียงอย่างรุนแรงและอาจเป็นอันตรายต่อตัวผู้ป่วย เช่น มีไข้ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส/Celsiusขึ้นไป หรือหายใจไม่ออก/หายใจลำบาก หรือเกิดภาวะน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ลักษณะเหล่านี้จะต้องรีบแจ้งแพทย์/หรือมาโรงพยาบาลโดยทันที ห้ามปล่อยทิ้งไว้นาน

ผู้ป่วยที่ใช้ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ในการบำบัดรักษานั้น ควรต้องปฏิบัติดูแลตนเองตามคำแนะนำของ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร ซึ่งจะส่งผลดีต่ออาการป่วย ทั้งการกำจัดพิษของสารอาร์เซนิก และช่วยรักษาสมดุลของร่างกายให้ฟื้นคืนสภาพได้อย่างรวดเร็ว ข้อปฏิบัติดังกล่าว เช่น

  • ดื่มน้ำอย่างน้อย 2-3 ลิตร/วัน(เมื่อไม่ได้เป็นโรคที่แพทย์ให้จำกัดน้ำดื่ม) เพื่อกำจัดยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ในร่างกาย ไปกับปัสสาวะ
  • ผู้ป่วยอาจมีความเสี่ยงของการติดเชื้อได้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในฝูงชนหรืออยู่ในที่ที่มีคนมาก หากพบอาการป่วย เช่น เป็นโรคหวัด จะต้องรายงานให้แพทย์ พยาบาล ทราบทันที
  • ล้างมือบ่อยๆด้วยสบู่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  • กรณีต้องพบทันตแพทย์หรือเข้ารับการผ่าตัด ควรต้องแจ้งแพทย์ด้วยว่าตนเองอยู่ในระหว่างการบำบัดด้วยยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์
  • เพื่อป้องกันการเกิดแผลในปาก ควรใช้แปรงสีฟันนุ่มๆในการแปรงฟัน พร้อมกับบ้วนปากด้วยน้ำเกลือ โดยใช้เกลือแกง 1 ช้อนชาผสมกับน้ำ 250 ซีซี วันละ 3 ครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาหรือกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ง่าย
  • เพื่อลดอาการคลื่นไส้จากการใช้ยานี้ ให้รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้งขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัด หากต้องออกแดดควรใช้โลชั่นกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป และสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวหนังมิดชิด
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ
  • มีภาวะโภชนาการที่ดี โดยรับประทานอาหารมีประโยชน์5หมู่ ให้ครบถ้วนในทุกวัน
  • หากพบอาการข้างเคียงต่างๆจากการบำบัดด้วยยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ ให้แจ้ง แพทย์ พยาบาล เพื่อแพทย์พิจารณาปรับแนวทางการรักษา
  • กรณีผู้ป่วยเป็นสตรี ควรมีการคุมกำเนิดตลอดการรักษาจนถึงประมาณ 1 ปีหลังครบการรักษา เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง/พิษของยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ต่อทารกในครรภ์
  • สามีที่มีภรรยาที่ต้องใช้ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์หรือฝ่ายชายที่ต้องใช้ยานี้ ควรใช้ถุงยางอนามัยช่ายทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับภรรยา เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์
  • หากผู้ป่วยมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่หลังการใช้ยานี้ ให้ทำให้ร่างกายอบอุ่นเสมอ และดื่มน้ำมากๆ หากมีไข้ให้ใช้ยา Acetaminophen หรือ Ibuprofen บรรเทาอาการ และรีบไปโรงพยาบาลโดยเร็ว ไม่ต้องรอถึงวันนัด

ปัจจุบัน เราจะพบเห็นการใช้ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์แต่ในสถานพยาบาล โดยผู้ป่วยต้องเข้ามารับการให้ยาที่สถานพยาบาลตามที่แพทย์นัดหมายทุกครั้ง เพื่อผู้ป่วยจะได้รับการตรวจร่างกายจากแพทย์ เพื่อตรวจสอบสภาพการทำงานของระบบอวัยวะต่างๆในร่างกายอย่างใกล้ชิด และดูความก้าวหน้าของการรักษาหลังจากการบำบัดด้วยยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์นั่นเอง

อาร์เซนิกไตรออกไซด์มีสรรพคุณ(คุณสมบัติ)อย่างไร?

อาร์เซนิกไตรออกไซด์

ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ในรูปแบบเภสัชภัณฑ์/ยาแผนปัจจุบัน มีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้ใช้เป็นลักษณะของยาเคมีบำบัด เพื่อรักษาอาการของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (Acute promyelocytic leukaemia)

อาร์เซนิกไตรออกไซด์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?

ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ มีกลไกการออกฤทธิ์โดย ตัวยาจะทำให้สารพันธุกรรม (DNA)ของเซลล์มะเร็งเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยหยุดการเจิญเติบโต/การแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง และหยุดการแพร่กระจาย จึงทำให้เซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวตายลงในที่สุด

อาร์เซนิกไตรออกไซด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?

ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายเป็น ยาฉีดที่ประกอบด้วยสาร Arsenic trioxide ขนาด 10 มิลลิกรัม/10 มิลลิลิตร

อาร์เซนิกไตรออกไซด์มีขนาดการบริหารยาอย่างไร?

ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ มีขนาดการบริหารยา/ใช้ยา เช่น

  • ผู้ใหญ่: หยดยาเข้าหลอดเลือดดำขนาด 0.15 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วันละ1 ครั้ง จนกระทั่งอาการป่วยของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวทุเลาลง โดยขนาดการใช้ยาสูงสุดต้องไม่เกิน 50 ครั้ง
  • เด็ก: การใช้ยานี้ในเด็ก ขนาดยาจะขึ้นกับ อายุ น้ำหนักตัวของเด็ก และดุลพิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นกรณีๆไป

อนึ่ง:

  • การเตรียมยาฉีดอาร์เซนิกไตรออกไซด์ ทำโดยเจือจางตัวยาขนาด 10 มิลลิกรัม ในสารละลาย 5% Dextrose หรือ 0.9% Sodium chloride ปริมาณ 100–250 มิลลิลิตร แล้วหยดเข้าหลอดเลือดดำของผู้ป่วย โดยใช้ระยะเวลาในการให้ยานานมากกว่า 1 – 2 ชั่วโมงขึ้นไป
  • การให้ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ จะให้ต่อเนื่อง 5 วัน ให้พักการให้ยา 2 วัน และให้ยาต่อในลักษณะนี้ โดยระยะเวลาการใช้ยาให้เป็นไปตามดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา

*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมถึงยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกร ดังนี้

  • ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก
  • มีโรคประจำตัวต่างๆ อย่างเช่น โรคไต โรคตับ โรคหัวใจ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
  • หากเป็นสุภาพสตรี ควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือ กำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนม หรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้

หากลืมรับการให้ยาควรทำอย่างไร?

หากผู้ป่วยลืมมารับการฉีดยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ ควรรีบแจ้งให้ แพทย์ พยาบาลทราบ เพื่อนัดหมายการฉีดยาครั้งใหม่โดยเร็ว

อาร์เซนิกไตรออกไซด์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?

ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ สามารถก่อให้เกิดผลไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง)ต่อระบบอวัยวะต่างๆของร่างกาย ดังนี้ เช่น

  • ผลต่อระบบเลือด: เช่น เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวสูง ภาวะเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดต่ำ
  • ผลต่อระบบทางเดินอาหาร: เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ ไอ ปวดท้อง อาเจียน เกิดแผลในลำคอ เบื่ออาหาร
  • ผลต่อระบบประสาท: เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ อาการชามือ-เท้า ตัวสั่น วิงเวียน
  • ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด: ผลตรวจค่า EKG ผิดปกติ เจ็บหน้าอก ชีพจรเต้นผิดปกติ เช่น ชีพจรเต้นเบา ความดันโลหิตสูงหรือไม่ก็ต่ำ หัวใจเต้นเร็ว
  • ผลต่อตับ: เช่น ค่าเอนไซม์การทำงานของตับในเลือดผิดปกติ
  • ผลต่อผิวหนัง: เช่น เกิดผื่นคัน ผิวแห้ง
  • ผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะ: เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด
  • ผลต่อระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย: เช่น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น โพแทสเซียมในเลือดสูง แคลเซียมในเลือดต่ำ
  • ผลต่อระบบกล้ามเนื้อและกระดูก: เช่น ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก
  • ผลต่อตา: เช่น ตาพร่า
  • ผลต่อสภาพจิตใจ: เช่น วิตกกังวล นอนไม่หลับ
  • ผลต่อระบบทางเดินหายใจ: เช่น หายใจขัด/หายใจลำบาก ไซนัสอักเสบ มีเลือดกำเดา
  • อื่นๆ: เช่น ในผู้หญิง อาจมีเลือดประจำเดือนมากผิดปกติ

มีข้อควรระวังการใช้อาร์เซนิกไตรออกไซด์อย่างไร?

มีข้อควรระวังการใช้ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ เช่น

  • ห้ามใช้กับผู้แพ้ยานี้
  • ห้ามใช้ยานี้กับสตรีมีครรภ์/ตั้งครรภ์ ด้วยยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์เป็นพิษกับทารกในครรภ์โดยอาจก่อให้เกิดความพิการแต่กำเนิด
  • กรณีต้องใช้ยานี้กับสตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร ต้องให้ทารกดื่มนมผงดัดแปลงแทนนมมารดา
  • การใช้ยานี้กับ เด็ก และ ผู้สูงอายุ ให้เป็นไปตามดุลยพินิจของแพทย์ผู่รักษา
  • ขณะใช้ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์บำบัดอาการป่วย ควรหลีกเลี่ยงอาหารทะเลหรืออาหารที่มีสารอาเซนิก(Arsenic)เจือปน
  • หลังใช้ยานี้ หากพบอาการ คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว ท้องเสีย เลือดออกง่าย อุจจาระมีสีคล้ำ/ดำ/อุจจาระเป็นเลือด อ่อนเพลียมาก ให้รีบแจ้งแพทย์/พยาบาล มาโรงพยาบาลด่วน โดยไม่ต้องรอถึงวันนัด เพื่อพิจารณาปรับแนวทางการรักษา
  • ป้องกันการตั้งครรภ์/การคุมกำเนิด ระหว่างที่มีการใช้ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์
  • ระหว่างการบำบัดด้วยยานี้ หากพบอาการชานิ้วมือ-นิ้วเท้ามากขึ้นตามระยะเวลาการใช้ยานี้ ให้รีบแจ้งแพทย์/พยาบาล เพื่อการรักษาอาการนี้ และปรับการรักษา
  • ระวังการใช้ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์กับ ผู้ป่วยที่หัวใจล้มเหลว ผู้ที่มีภาวะเกลือโพแทสเซียมในเลือดต่ำ และ/หรือมีเกลือแมกนีเซียมในเลือดต่ำ ผู้ที่มีภาวะตับ-ไตทำงานผิดปกติ
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร อย่างเคร่งครัด และมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามนัดทุกครั้ง
  • ห้ามใช้ยาหมดอายุ
  • ห้ามเก็บยาหมดอายุ

***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา”ที่รวมถึง ยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ด้วย) ยาแผนโบราณทุกชนิด อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสมุนไพร ต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้ง ควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ(อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ

อาร์เซนิกไตรออกไซด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?

ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น

  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ร่วมกับยา Amphotericin B, Alfuzosin, Chlorothiazide, Chlorpromazine, Sotalol, ด้วยจะก่อให้เกิดอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะตามมา
  • การใช้อาร์เซนิกไตรออกไซด์ร่วมกับวิตามิน บี12 ในรูปยา Cyanocobalamine จะเป็นเหตุให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ร่วมกับยา Elbasvir, ด้วยยา Elbasvir จะทำให้ระดับของยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นจนทำให้เสี่ยงต่อการได้รับผลข้างเคียงต่างๆจากยาElbasvirสูงขึ้นตามมา หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมเป็นรายบุคคลไป

ควรเก็บรักษาอาร์เซนิกไตรออกไซด์อย่างไร?

ควรเก็บรักษายาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ตามข้อแนะนำในเอกสารกำกับยา ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด ความร้อนและความชื้น และเก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

อาร์เซนิกไตรออกไซด์มีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?

ยาอาร์เซนิกไตรออกไซด์ ที่จำหน่ายในประเทศไทย มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย เช่น

ชื่อการค้าบริษัทผู้ผลิต
TRISENOX (ไตรเซนอกซ์)Cell Therapeutics, Inc.

อนึ่ง ยาชื่อการค้าของยานี้ในต่างประเทศ เช่น Arsikem

บรรณานุกรม

  1. https://en.wikipedia.org/wiki/Arsenic_trioxide [2017,Jan28]
  2. https://tcmwiki.com/wiki/pi-shuang [2017,Jan28]
  3. https://en.wikipedia.org/wiki/Roxarsone [2017,Jan28]
  4. http://www.mims.com/thailand/drug/info/arsenic%20trioxide/?type=brief&mtype=generic [2017,Jan28]
  5. http://www.tsh.or.th/file_upload/files/vol15-4%2003%20Acute%20promyelocytic%20leukemia(1).pdf [2017,Jan28]
  6. http://chemocare.com/chemotherapy/drug-info/arsenic-trioxide.aspx [2017,Jan28]
  7. https://www.drugs.com/drug-interactions/arsenic-trioxide-index.html?filter=3&generic_only=#C [2017,Jan28]