อย่าตกใจ ไข้หวัดหมู (ตอนที่ 1)

นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ออกมาเตือนคนไทยว่า อย่าตื่นตระหนกกับข่าวการพบผู้ป่วยและเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ 2009 ที่ประเทศเม็กซิโก โดยชี้แจงว่า เชื้อโรคชนิดนี้พบตั้งแต่ พ.ศ.2552 ไม่ใช่สายพันธุ์ใหม่ อาการป่วยไม่ต่างจากโรคไข้หวัดใหญ่ทั่วไป ไทยจัดโรคนี้เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล

การแพร่กระจายของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ 2009 เป็นการระบาดทั่วโลกของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ชนิดA H1N1 หรือที่เรียกกันว่า "ไข้หวัดหมู (Swine flu)" ไวรัสตัวนี้เกิดขึ้นจากการรวมตัวของพันธุกรรมของเชื้อไข้หวัดใหญ่ในคน ในสัตว์ปีก และในหมู กับไวรัสไข้หวัดใหญ่หมูสายพันธุ์ยูเรเชีย (Eurasia) เชื้อนี้มีลักษณะเด่น ตรงที่โรค A H1N1 ไม่มีการระบาดจากการรับประทานเนื้อหมู หรือผลิตภัณฑ์จากหมูแต่อย่างใด และมักจะไม่ค่อยติดต่อสู่คนชราที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป

การระบาดของเชื้อนี้ เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา มีการพบไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ดังกล่าวครั้งแรกในประเทศเม็กซิโก และมีหลักฐานว่าโรคดังกล่าวได้แพร่กระจายเป็นเวลานานนับเดือน ก่อนจะมีการรับรองเป็นทางการ อันที่จริง รัฐบาลเม็กซิโกได้พยายามยับยั้งการระบาดของโรคด้วยมาตรการต่างๆ รวมทั้งปิดสถานที่ราชการและเอกชนจำนวนมาก แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งเชื้อที่ระบาดอย่างรวดเร็ว จนลามไปทั่วโลกในที่สุด

ผู้ป่วยด้วยเชื้อ A H1N1 ส่วนใหญ่ จะมีอาการเพียงเล็กน้อย อาทิมีไข้ เจ็บคอ ไอ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องร่วง การระบาดของ A H1N1 สามารถติดต่อระหว่างคนสู่คนผ่านทางละอองของการหายใจ ในทำนองเดียวกับไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่น แต่อาการของโรคมักปรากฏเป็นเวลา 4 – 6 วัน แพทย์จึงแนะนำให้ผู้ที่มีอาการพักผ่อนอยู่ที่บ้านและอยู่ห่างจากชุมชนแออัด อาทิ โรงเรียน ที่ทำงาน หรือศูนย์การค้า เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของโรคในสาธารณสถาน

แต่ผู้ป่วย ด้วยเชื้อ A H1N1 บางรายจะมีอาการรุนแรง ได้แก่ โรคหอบหืด โรคเบาหวาน โรคน้ำหนักตัวเกิน และโรคหัวใจ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เด็กที่ด้อยพัฒนาการทางประสาท และสตรีมีครรภ์ อย่างไรก็ตาม ผู้ซึ่งเคยมีสุขภาพดีก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นปอดบวม หรือกลุ่มอาการหายใจลำบากในผู้ใหญ่ได้ ซึ่งมักจะเกิดขึ้น 3 – 6 วัน หลังจากเริ่มมีอาการของไข้หวัดใหญ่

สำหรับผู้ซึ่งมีอาการรุนแรงหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรได้รับยาต้านไวรัส โอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir)) ในปี พ.ศ. 2552 มีผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันทั่วโลกทั้งสิ้นจำนวน 14,286 ราย อย่างไรก็ตาม จำนวนดังกล่าวเป็นผลรวมของรายงานจากหน่วยงานของประเทศต่างๆ ซึ่งองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) เชื่อว่า จำนวนที่แท้จริงนั้นสูงกว่านี้มาก

เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552 WHO และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) สหรัฐอเมริกา ได้ประกาศยกระดับการระบาดของ A H1N1 เป็น "โรคระบาดระดับโลก" (Pandemic) หลังจากนั้น นานามาตรการที่ได้รับการนำไปปฏิบัติ ทำให้จำนวนผู้ป่วยที่พบโรคนี้ลดจำนวนลงเรื่อยๆ

วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553 WHO ได้ประกาศว่าการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สิ้นสุดลงแล้ว โดยข้อมูลของ WHO ชี้แจงว่า มีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มากกว่า 18,000 คนทั่วโลก จนกระทั่ง A H1N1 หวนกลับมาใหม่ในประเทศเม็กซิโกเมื่อเร็วๆนี้

แหล่งข้อมูล:

  1. สธ.ชี้หวัดใหญ่ 2009 ในเม็กซิโก ไม่ใช่สายพันธุ์ใหม่ ยันคนไทย 50% มีภูมิคุ้มกัน http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9550000010708 [2011, January 27].
  2. การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 http://th.wikipedia.org/wiki/การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่_2009 [2011, January 27].