อยู่อย่างไรให้เป็นสุขกับโรคลมชัก : เมื่อลูกชายผม...ชัก

“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องตกใจ ลูกของคุณจะไม่เป็นอะไร ไม่ต้องกังวลว่าระดับสติปัญญาจะต่ำกว่าเด็กทั่วไป” ทั้งหมดเป็นคำพูดที่ผมพูดกับคุณพ่อ-คุณแม่บ่อยๆที่พาลูกมาพบผมด้วยอาการชัก พ่อ-แม่ทุกคนแสดงท่าทางสงสัยว่าจริงหรือ เพราะเท่าที่ได้ยินจากผู้ใหญ่ เพื่อนบ้านเล่าให้ฟังว่า ลูกเราจะโง่ถ้าเป็นโรคลมชัก ผมก็ต้องอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไม ผมถึงพูดแบบนั้น และก็ต้องบอกต่อด้วยว่า ถ้าเด็กชักบ่อยๆ เช่น ทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง อย่างนั้นคงมีผลกระทบต่อสติปัญญาแน่ หรือเด็กบางคนมีความผิดปกติของสมองตั้งแต่ต้น และเป็นสาเหตุของการชัก เด็กกลุ่มนี้ก็ต้องมีความผิดปกติของระดับสติปัญญา ในที่สุดพ่อ-แม่ของเด็กส่วนหนึ่งก็สบายใจขึ้นและคลายความกังวลไปได้

แต่เมื่อลูกผมชัก ผู้อ่านคงเดาถูกว่าผมก็ตกใจ ผมก็กลัวและผมก็กังวล คืนนั้นทั้งคืน ภรรยาและผมต้องผลัดกันดูแลลูก ซึ่งส่วนใหญ่ผมก็หลับมากกว่า หน้าที่หลักก็ตกเป็นของคุณแม่ ถามว่าทำไมผมถึงกลัวและกังวล คงเป็นเหมือนคำกล่าวที่ว่า “เมื่อผงเข้าตาตนเอง ก็ไม่รู้จะเขี่ยออกอย่างไร”

ผมลองนั่งทวนว่าทำไม เมื่อเราเป็นคนบอกคนอื่นทุกคนได้ว่าถ้าพบเห็นอาการชักไม่ต้องตกใจ แต่เราก็ตกใจทุกครั้งถ้าเป็นคนใกล้ชิดเรามีอาการต่อหน้าต่อตา คงเป็นเพราะว่ามีความใกล้ชิด ความรักต่อลูกเรามากๆๆ และส่วนหนึ่งของความรู้ที่มีอยู่เต็มหัวก็ไม่สามารถเอาชนะความกลัว ความวิตกกังวลนี้ ที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกคน ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นใคร มีอาชีพอะไร มีความรู้มากน้อยแค่ไหน เป็นหมอหรือไม่ใช่ ผมรู้จักหมอหลายคนถูกบอกมาจากพ่อ-แม่หรือผู้ใหญ่ว่า ระวังอย่าให้ลูกชัก หมอทุกคนก็ตกใจ กังวลกลัวทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกับพ่อ-แม่ทุกคน ผมจึงยกตัวเอย่างว่าลูกผมก็ชัก

ผมเข้าใจพ่อ-แม่ทุกคนถึงความรู้สึกดังกล่าวเมื่อเห็นลูกชัก ซึ่งผมก็ยังยืนยันความจริงว่า ไม่ต้องกังวลมาก และก็จะปรับคำพูดที่พูดกับพ่อ-แม่ไปบ้างเช่น “ไม่ต้องกังวลมากครับ ลูกของคุณจะค่อยๆดีขึ้น และไม่น่าจะมีผลต่อสมอง” ลูกชายของผมตอนนี้เรียนชั้น ป.4 มีอาการชักทั้งหมด 3 ครั้ง ในช่วง 1 ปี ก็ไม่มีปัญหาเรื่องการเรียนครับ