สาระน่ารู้จากหมอตา ตอน: ปัญหาทางตาจากโรค Steven Johnson
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
- 9 ตุลาคม 2557
- Tweet
โรค Steven Johnson ถูกเรียกตามชื่อของหมอ Steven และ Johnson ที่พบและรายงานโรคนี้เป็นสองคนแรก เป็นภาวะที่มีผลจากปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันของร่างกายของผู้ป่วยตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นที่อาจเป็น ยา การติดเชื้อ หรือการเจ็บป่วย โดยมีอาการแสดงเกิดที่ผิวหนังและเยื่อบุผิว ถ้าไม่รุนแรงอาจจะผิดปกติที่ผิวหนังเท่านั้น ชนิดที่เป็นรุนแรงพบได้ร้อยละ 20 นั้น มีความผิดปกติของเยื่อบุผิวตำแหน่งอื่นๆที่ไม่ใช่ผิวหนังด้วย(เช่น ที่ตา) เคยมีผู้รายงานว่าพบอุบัติการณ์ของโรคนี้ 1 ในประชากร 1 ล้านคนต่อปี คำนวณคร่าวๆ คนไทยเราจึงพบได้ประมาณ 60 คน ต่อปี คาดกันว่าผู้ป่วยที่เป็นเอดส์ที่ภูมิคุ้มกันผิดปกติ มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนปกติ
อาการเบื้องต้น คือ เป็นไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยเนื้อตัว เจ็บคอ ไอ อาการเหมือนไข้หวัดทั่วๆ ไป จึงยากแก่การวินิจฉัยในระยะแรก ต่อเมื่อเกิดผื่นที่ผิวหนังที่มีลักษณะจุดแดงตรงกลางร อบด้วยผื่นสีซีด และมีผื่นวงแดงล้อมอีกที ในบางคนผื่นนี้อาจจะลุกลามเป็นน้ำใส ส่วนความผิดปกติที่เยื่อบุผิวอื่นๆ พบที่เยื่อบุผิวปาก เยื่อบุตา เยื่อบุบริเวณอวัยวะเพศและรอบทวารหนัก โดยจะมีลักษณะเป็นตุ่มใส อาจมีแผ่นเนื้อเยื่อปกคลุมและหลุดลอกออกเป็นหย่อมๆ
เหตุชักนำที่ทำให้เกิดโรคที่สำคัญที่ทราบกัน ได้แก่
- ยา เรียกกันว่า แพ้ยานั่นเอง ยาที่พบบ่อย ได้แก่ ยากลุ่ม sulfa , penicillin , cephalosporin , ciprofloxacin ยากันชัก ยาแก้ปวดข้อ ยาต้านไวรัสเอดส์ เป็นต้น
- การติดเชื้อ ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส หรือแม้แต่เชื้อรา
- เนื้องอก หรือมะเร็ง ที่มีรายงานมาก ได้แก่ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- แม้ vaccine บางชนิดที่ใช้ป้องกันโรคก็มีรายงานว่า ทำให้เกิดภาวะนี้ได้ ผู้ป่วยที่ได้รับรังสีรักษาหรือผู้ป่วยที่ มีโรคอักเสบของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (collagen vasculitis) ฯ ล ฯ
อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายอาจไม่พบมีเหตุ ชักนำอะไรก็ได้ (พบได้ประมาณกว่าร้อยละ 50) ซึ่งหากเป็นแบบไม่รุนแรงจะหายไปเองใน 1 – 2 สัปดาห์ หากเป็นรุนแรง มีอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 3 – 15 จากภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจ ปอดอักเสบ ไตวายเฉียบพลัน ติดเชื้ออย่างรุนแรง เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ/การติดเชื้อในกระแสโลหิต
มีผู้รายงานว่ามีโอกาสเกิดความผิดปกติทางตาได้ร้อยละ 40 และในกลุ่มที่มีความผิดปกติทางตา มักทำให้สายตาลดลงได้บ้าง ความผิดปกติทางตาแบ่งได้เป็น 2 ระยะ
ระยะเฉียบพลัน (1 – 3 สัปดาห์แรก) มีการอักเสบของเยื่อบุตา ตาแดงทั้ง 2 ข้าง มีน้ำตา ขี้ตา เปลือกตาบวม เยื่อบุตาบวมน้ำ (chemosis) ผิวตาดำแห้งและอาจมีผิวลอก epithelium ทำให้มีการติดเชื้อของตาดำได้ ร่วมกับภูมิต้านทานของผู้ป่วยลดลง การอักเสบอาจลามกว้างไปทั่วตาดำ
ระยะเรื้อรัง เป็นระยะที่เกิดแผลเป็น เมื่อโรคสงบลง การอักเสบจะทำลายต่อมสร้างน้ำตา มีพังผืดยึดเยื่อบุตาให้ติดกัน (symblepharon) ทำให้ตาแห้ง ขนตาร่วง ผิวตาดำไม่เรียบ พังผืดอาจดึงรั้งทำให้ขนตาม้วนเข้าไปเขี่ยตาดำ ตาดำเป็นแผลร่วมกับมีหลอดเลือดเกิดเข้าไปในตาดำ (ทำให้การผ่าตัดเปลี่ยนตาดำไม่ได้ผล)
ผลแทรกซ้อนทางตา
ผลแทรกซ้อนระยะยาวที่ก่อให้เกิดอาการทางตา ได้แก่
- ตาแห้ง ทำให้มีอาการแสบ ระคายเคือง ตาแดง เป็นๆ หายๆ ใช้สายตาไม่ทน จากต่อมต่างๆ ที่สร้างน้ำตาถูกทำลาย ทำให้ต้องระงับด้วยการหยอดน้ำตาเทียม
- เปลือกตาผิดรูป มีขนตาเก เยื่อบุตายึดติดกัน ทำให้กลอกตาไม่คล่องตัว อาจต้องรับการแก้ไขโดยวิธีผ่าตัด
- มีการทำลายเซลล์ต้นกำเนิดผิวกระจกตา (limbal stem cell) ซึ่งเป็นเซลล์สร้างผิวกระจกตา หากถูกทำลาย ผิวกระจกตาจะขรุขระมีหลอดเลือดวิ่งเข้ามา ทำให้กระจกตาฝ้ามัว ต้องมีการปลูกถ่าย stem cell
- หากกระจกตาอักเสบรุนแรง หรือเป็นฝ้าขาว ต้องรับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายกระจกตาจากผู้บริจาค
- ในรายที่เป็นรุนแรง กระจกตาฝ้าขาว มีหลอดเลือดมาที่กระจกตา มีการทำลายของ stem cell การผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตามักไม่ได้ผล สุดท้ายต้องลงเอยด้วยการทำกระจกตาเทียม (keratoprosthesis) ซึ่งค่อนข้างยุ่งยาก วัสดุมีราคาแพง แต่เป็นวิธีสุดท้ายที่ช่วยให้ผู้ป่วยพอมองเห็นขึ้นมาบ้าง