สาระน่ารู้จากหมอตาตอน:การป้องกันตาจากอุบัติเหตุรถยนต์

สาระน่ารู้จากหมอตา

เคยอ่านพบบทความจากสำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพ ในเรื่องปัญหาสุขภาพในหัวข้ออุบัติภัยจราจรเมื่อหลายปีที่แล้วว่า

ทุกๆ วันประชาชนไทยเกือบ 50 คนออกจากบ้านอาจไปทำงาน ทำธุระ ท่องเที่ยว แต่ไปแล้วไปลับไม่กลับมา เป็นการเสียชีวิตระหว่างทาง หรือ ณ สถานที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านตนเอง การสูญเสีย 50 คน ในแต่ละวันย่อมนำมาซึ่งความเสียใจ อาลัยอาวรณ์ของลูก พ่อ แม่ ญาติมิตรของเขา

อุบัติเหตุจราจรทางบกมักพบในคนอายุ 16 - 37 ปี เฉลี่ย 29 ปี เป็นวัยที่ยังคึกคะนอง และร้อยละ 73 เป็นชาย ส่วนใหญ่พบในผู้ขับขี่จักรยานยนต์ ซึ่งมักจะรุนแรงถึงเสียชีวิตเพราะบาดเจ็บบริเวณศีรษะและสมอง ส่วนอุบัติเหตุทางตา มีผู้สำรวจพบว่ามักเกิดในผู้ขับขี่รถยนต์มากกว่า

มีรายงานว่าเมื่อปี 2556 ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 3 ของโลก ที่มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่ในปี 2558 ประเทศไทยขึ้นมาอยู่อันดับ 1 ของโลก โดยมีจำนวนคนเสียชีวิต 36.2 คน ต่อประชากร 1 แสนคน สาเหตุจากคนขับเมา ขับรถเร็ว ขับตัดหน้ากระชั้นชิด ทัศนวิสัยไม่ดี หลับใน ฝ่าฝืนกฎจราจร เป็นต้น อ่านรายงานแล้วน่าตกใจอยู่

การบาดเจ็บทางตาจากอุบัติเหตุจราจร อาจเกิดจากแรงกระแทก (blunt trauma) จากวัสดุที่ไม่คม เป็นแรงอัดลูกตาให้อวัยวะภายในดวงตาหรือเคลื่อนที่จากที่เดิม ทำให้ตามัวลงหรือแม้แต่เกิดการแตกของดวงตาจากแรงอัดได้ นอกจากนี้ดวงตาอาจบาดเจ็บจากการถูกของมีคมทิ่มแทง จากเศษกระจกหน้ารถที่แตกเป็นลิ่มแหลมแทง หรือจากเหล็กที่เป็นส่วนประกอบของโครงรถที่มีหักเป็นปลายแหลม อาจมีเศษเหล็ก เศษกระจกฝังอยู่ภายในลูกตา ซึ่งล้วนทำให้ดวงตาได้รับอันตรายมากขึ้น

เมื่อพบผู้ที่สงสัยว่าได้รับบาดเจ็บทางตาหลังอุบัติเหตุ ทั้งนี้ต้องผ่านการดูแลการบาดเจ็บ ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตก่อนเรียบร้อยแล้ว ในขั้นแรกผู้พบเห็นควรประเมินว่าการบาดเจ็บทางตานั้น มีการฉีกขาดของดวงตาหรือไม่ ลักษณะต่อไปนี้บ่งว่าน่าจะมีการฉีกขาดของดวงตา

  • มีบาดแผลบริเวณใบหน้าใกล้ๆ ดวงตา
  • มีเลือดออกบริเวณใบหน้าหรือเปลือกตาอย่างมาก
  • มีรอยฉีกขาดของเปลือกตามาถึงขอบ ซึ่งอาจถูกกระจกบาดหนังตา ถ้าเป็นแผลยาวก็น่าจะทิ่มแทงดวงตาไปด้วย
  • บริเวณเบ้าตามีกระดูกหักชัดเจน
  • หนังตาบวมมากจนมิอาจเปิดลูกตาได้
  • มีน้ำใสๆ หรือน้ำปนเลือด ซึมออกจากดวงตา
  • หากสามารถเปิดตาได้ เห็นดวงตาผิดรูป ตาดำไม่กลม
  • พบของเหลว น้ำเหนียวๆ หรือวัสดุสีน้ำตาลดำบริเวณตาดำ ฯลฯ

หากสงสัยว่าดวงตาฉีกขาด ผู้ที่ช่วยเหลือห้ามพยายามถ่างตา เพราะอาจทำให้ดวงตาที่ฉีกขาดกว้างขึ้นไปอีก หรือทำให้อวัยวะภายในดวงตาทะลักออกมา หากมีเลือดออกบริเวณหนังตาไม่หยุด ให้ใช้ผ้าสะอาดกดบริเวณเลือดออกเข้ากับกระดูกเบ้าตา ห้ามกดเข้าหาดวงตา หรือถ้าไม่แน่ใจใช้ผ้าสะอาดซับเลือดก็พอ เมื่อเลือดหยุด เช็ดขอบแผลด้วยน้ำสะอาด ปิดผ้ากอซที่ตาอย่างหลวมๆ ห้ามขยี้ตาเด็ดขาด แล้วนำส่งโรงพยาบาลทันที ถือเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

ในกรณีที่ดวงตาไม่ฉีกขาด และผู้ประสบเหตุมีสัมปชัญญะดี ควรให้ทดสอบการมองเห็นโดยเปิดตาทีละข้าง (เน้นการตรวจทีละข้าง) หากพบว่ามีการเห็นลดลง ต้องปรึกษาจักษุแพทย์ทันทีเช่นกัน มีอยู่บ่อยๆ ที่ตาข้างหนึ่งมีอันตรายอย่างรุนแรง โดยที่ตาอีกข้างยังดี ทำให้ไม่ทราบว่าตาอีกข้างผิดปกติ ทำให้พลาดการรักษาในเวลาอันควรไป

การบาดเจ็บทางตาจากอุบัติเหตุจราจร มีตั้งแต่บาดเจ็บเล็กน้อยไม่มีการสูญเสียการมองเห็น ไปจนถึง ขั้นสูญเสียการมองเห็น และที่ร้ายแรงสุดถึงขั้นต้องเอาตาออก เพราะตาบาดเจ็บอย่างมากจนมิอาจซ่อมแซมได้ การสูญเสียสายตาซึ่งทำให้อวัยวะสัมผัสที่สำคัญบกพร่องไป ย่อมทำให้ผู้นั้นมีคุณภาพชีวิตถดถอยลง การป้องกันการสูญเสียดวงตาจากอุบัติเหตุจราจรน่าจะมีประโยชน์กว่าการมาแก้ไขทีหลัง

คำแนะนำในการป้องกันการสูญเสียสายตาจากอุบัติเหตุจราจร คือ

  • ผู้ขับขี่ทุกคนต้องมีภาวะทั้งร่างกายและจิตใจที่เป็นปกติดี ไม่มึนเมาสุราหรือเมายา โครงการรณรงค์เมาไม่ขับน่าจะมีประโยชน์ การมึนจากยาที่รับประทาน เช่น ยาแก้หวัด ยาแก้แพ้ ยาคลายเครียด ฯลฯ ก็มีส่วนทำให้มึนงง ทำให้การขับขี่ไม่ปลอดภัยได้
  • ผู้โดยสารที่นั่งหน้าคู่กับคนขับ มักได้รับภยันตรายบริเวณตามากกว่า จึงต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเสมอ
  • ไม่ควรนำเด็กมานั่งตักผู้โดยสารที่นั่งคู่กับคนขับ
  • สนับสนุนการใช้แว่นตาทำด้วยพลาสติก polycarbonate ที่ทนทานไม่แตกหักง่าย
  • รถยนต์ทุกประเภทควรใช้กระจกรถแบบ Iaminated glass
  • พยายามให้คำแนะนำหรือแนวทางปฏิบัติต่อสาธารณชนทางสื่อต่างๆ เกี่ยวข้องกับวิธีการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน
  • เครื่องหมาย สัญญาณจราจร แนวเขตถนน เส้นกลางถนน ต้องทาสีให้เห็นชัดเจน และใช้สีสะท้อแสงที่เห็นชัดในเวลากลางคืน
  • ถุงลมนิรภัย (air bag) ซึ่งมีอยู่ในรถยนต์รุ่นใหม่ สามารถลดความรุนแรงของการบาดเจ็บก็จริงอยู่ แต่ในทางตรงข้าม บางครั้งก๊าซปริมาณมากในถุงลมนิรภัยเองอาจถูกกระแทกถูกตา หรือมีสารเคมีออกจากถุงลม ได้แก่ sodium hydroxide , carbon dioxide , metallic oxide ทำให้ตาได้รับสารเคมีเหล่านี้ จนอาจเกิดภยันตรายอย่างรุนแรงได้ การศึกษาและพัฒนาถึงปริมาณของก๊าซในถุงลม ขนาดของถุงลม ความเร็วของรถที่จะทำให้ถุงลมทำงาน คงต้องทำกันต่อไป และเป็นเรื่องที่ต้องติดตามข้อมูลกันอย่างต่อเนื่อง

ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย การดูแลรักษาเป็นเรื่องจำเป็น หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นนอกจากจะเร่งตรวจดูอวัยวะอื่นแล้ว ห้ามละเลยที่จะตรวจดูดวงตาด้วยว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ และต้องให้การปฐมพยาบาลอย่างถูกต้องและเร่งด่วน