สาระน่ารู้จากหมอตา ตอน: ภัยของผู้ใช้คอนแทคเลนส์จากเชื้อปรสิต
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
- 24 ธันวาคม 2558
- Tweet
ผู้ใช้คอนแทคเลนส์ ควรต้องระวังโรคที่เกิดจากปรสิตตัวหนึ่งที่กระจกตา แม้ปรสิตตัวนี้อาจเกิดในคนปกติที่ไม่ได้ใช้คอนแทคเลนส์ก็ได้ แต่พบเป็นส่วนน้อยกว่ามาก เชื้อปรสิตที่กล่าวถึงนี้คือ เชื้ออะมีบา (Acanthamoeba) นั่นเอง เชื้อตัวนี้ก่อให้เกิดโรคทางตาและระบบอื่น เช่น ทางสมองได้ ตัวเชื้ออยู่ได้ 2 รูปแบบ คือ เป็นตัวเป็นๆ (trophogoite) และเป็นซีสต์ (cyst) โดยระยะที่เป็นตัวเป็นๆ มันสามารถเคลื่อนที่ได้แม้อยู่ในเนื้อเยื่อบางชนิดและจะกลายมาเป็น cyst เมื่อปรสิตมีอยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสม ขาดออกซิเจนหรือถูกสารเคมี หากอยู่ในรูปของ cyst จะอยู่ทนมาก ยากที่จะถูกทำลายเมื่ออยู่ในร่างกายคนและอยู่ในรูปของ cyst จึงยากที่จะรักษา
ในความเป็นจริง คือปรสิตตัวนี้พบได้ทั่วไปในน้ำ ในดิน น้ำเกลือ น้ำที่ผ่านคลอรีนที่สำคัญ พบได้ในคอนแทคเลนส์ ในน้ำยาที่ใช้ในคอนแทคเลนส์ ตลอดจนในตลับที่ใส่คอนแทคเลนส์
เชื้อตัวนี้เป็นตัวสำคัญที่เกิดการอักเสบของกระจกตาในผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์ โดยมีการพบโรคนี้ในผู้ใช้คอนแทคเลนส์โดย Jone และคณะครั้งแรก เมื่อปี ค.ศ.1974 จากนั้นก็มีรายงานพบภาวะนี้มากขึ้นเรื่อยมา เนื่องจากหมอเริ่มรู้จักเชื้อนี้มากขึ้น และพบผู้ป่วยส่วนใหญ่สัมพันธ์กับการใช้คอนแทคเลนส์ที่มากขึ้น
การติดเชื้อตัวนี้ที่กระจกตาในผู้ใช้คอนแทคเลนส์ เกิดได้ในผู้ใช้คอนแทคเลนส์ทุกชนิด ทั้งแข็งและนิ่ม ทั้งชนิดใส่วันเดียว ใส่รายสัปดาห์ รายเดือนหรือรายปี เชื่อว่าการติดเชื้อมีปัจจัยเสี่ยงในผู้ใช้คอนแทคเลนส์ เนื่องจาก
- ผิวกระจกตามีรอยถลอกจากคอนแทคเลนส์ มีสารอะไรติดอยู่ (contact lens deposit)
- ใช้คอนแทคฯนาน
- ดูแลรักษา จับต้องคอนแทคฯไม่ถูกต้อง เช่น ใช้น้ำประปา ใช้น้ำเกลือทำเองหรือเทจากขวดใหญ่ บางรายใช้น้ำลายแตะคอนแทคก่อนใส่ ไม่ทำความสะอาดตลับใส่เลนส์ ไม่ทำความสะอาดตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ใช้เลนส์ที่หมดอายุ เป็นต้น
ทั้งนี้คาดกันว่า เมื่อเชื้อตัวนี้เข้าไปเกาะที่ผิวกระจกตาเข้าไปเจริญในเซลล์ผิว (epithelium) และเซลล์ในเนื้อกระจกตา (keratocyte) มันจะสร้างเอนไซม์ย่อยและสลายกระจกตา ตามด้วยการอักเสบกระจายไปทั่วจนทำให้กระจกตาทะลุได้ อาการแสดงของกระจกตาอักเสบจากเชื้อตัวนี้คล้ายที่เกิดจากเชื้อตัวอื่นๆ แต่มักจะมีอาการปวดตามากกว่าเพราะเชื่อว่า เชื้อมักจะกระจายรอบๆ เส้นประสาท (corneal nerve) ทำให้การอักเสบกระจายไปขอบๆ เป็นเส้นรัศมีที่หมอเรียกกันว่า radial keratoneuritis ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดมาก โดยสรุปกระจกตาอักเสบจากปรสิตตัวนี้ แม้จะมีลักษณะคล้ายการอักเสบของกระจกตาจากเชื้ออื่น แต่มีข้อที่เด่น คือ
- ประวัติการใช้คอนแทคเลนส์และดูแลคอนแทคเลนส์ไม่ถูกต้อง
- มีอาการปวดตามาก มากกว่าขนาดและลักษณะของแผล
- แผลมีลักษณะกระจายเป็นรัศมีไปถึงขอบกระจกตา
- มีผู้สังเกตว่าแผลอาจมีลักษณะเป็นวงแหวนที่เรียก ring infiltrate
การวินิจฉัยและรักษา
- ค่อนข้างยุ่งยาก ส่วนใหญ่อาศัยประวัติอาการ ลักษณะของแผล การตรวจหาเชื้อที่เป็นต้นเหตุ หากพบว่าไม่พบเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ให้สงสัยว่าอาจเป็นเชื้อตัวนี้ไว้ก่อน
- การตรวจหาเชื้อจากแผลยุ่งยาก ต้องใช้วิธีย้อมเชื้อด้วยสีพิเศษ
- แม้แต่การเพาะเชื้อ ต้องใช้ agar สำหรับเพาะเชื้อพิเศษ มิเช่นนั้นเพาะเชื้อไม่ขึ้น (แม้ว่าจะมีเชื้ออยู่)
- ในปัจจุบัน แม้จะมีการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีพิเศษ คือ immunoflurescent ที่ตรวจได้เร็วและแน่นอน การตรวจก็ยุ่งยาก ราคาแพง ทำได้เฉพาะบางแห่งเท่านั้น
- การรักษาค่อนข้างยาก เพราะตัวเชื้อสามารถเปลี่ยนรูปจากตัวเป็นๆ มากลายเป็น cyst ที่ทนต่อการรักษายิ่งขึ้น
- ตัวเชื้อสามารถแอบซ่อนอยู่ในเนื้อเยื่อ บางครั้งการรักษาดูเหมือนดีขึ้นแล้ว กลับเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้นในเวลาต่อมา
- ยาที่ใช้รักษามีอยู่ 4 กลุ่ม
a. Diamidine
b. Imidazole
c. Cationic antiseptic
d. Aminoglycoside
แม้จะมียาหลายกลุ่มแต่ผลไม่แน่นอน ยังหาวิธีที่เหมาะสมไม่ได้ คงต้องใช้เวลาติดตามผลในระยะยาว เพื่อมีการเสนอแนะวิธีการที่ดีต่อไป
โดยสรุป โรคนี้วินิจฉัยยาก รักษายากใช้เวลานาน ทรมานผู้ป่วยมากจึงควรป้องกันไม่ให้เกิดจะดีกว่าโดย
- ผู้ใช้คอนแทคเลนส์ควรตระหนักถึงโรคนี้ และให้การดูแลและวิธีใช้คอนแทคฯที่ถูกต้อง
- ไม่ใช้น้ำประปา น้ำเกลือทำเอง น้ำลายทำความสะอาดเลนส์
- ไม่ควรใส่คอนแทคฯ เวลาว่ายน้ำ หลีกเลี่ยงการใส่คอนแทคฯ ระหว่างกิจกรรมที่อาจเสี่ยงต่อน้ำกระเด็นเข้าตา
- ปรึกษาผู้ประกอบคอนแทคฯถึงวิธีการฆ่าเชื้อในคอนแทคเลนส์ที่เหมาะสม การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อบางชนิดอาจไม่ครอบคลุมปรสิตตัวนี้