สาระน่ารู้จากหมอตา ตอน: หัดเยอรมัน
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
- 25 มิถุนายน 2558
- Tweet
เมื่อหลายปีก่อน เคยเป็นอาสาสมัครตรวจโรคตา ดูสภาพสายตาของเด็กนักเรียนโรงเรียนตาบอดแห่งประเทศไทย ที่อยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อดูสาเหตุของตาบอดในเด็ก ตลอดจนคัดกรองเด็กนักเรียนในโรงเรียนตาบอด อาจมีบางรายที่ยังต้องการรับการรักษาเพื่อให้สายตาดีขึ้น หรือบางรายเพื่อประคับประคองให้สายตาที่เหลืออยู่บ้างให้อยู่อย่างนั้นตลอดไป ในสมัยก่อน เด็กนักเรียนในโรงเรียนตาบอดบางคน อาจไม่ได้ผ่านการตรวจตาอย่างละเอียดจากจักษุแพทย์ที่ลงความเห็นว่าควรรับการศึกษาจากโรงเรียนคนตาบอด ส่วนมากผู้ปกครองจะเลี้ยงดูกันเอง อาจไปรับการตรวจจากแพทย์ทั่วไป ลงความเห็นว่าตาบอด พออายุถึงวัยเรียนก็ส่งมาเข้าเรียนโรงเรียนคนตาบอด จำได้ว่า วันหนึ่ง เจอเด็กหญิงอุบล อายุ 8 ปี เป็นนักเรียนประจำ ตรวจพบต้อกระจกในตาทั้งสองข้าง ต้อหนามากจนมองไม่เห็นจอตาและประสาทตา แต่คาดว่าน่าจะยังพอใช้ได้ เนื่องจากรูม่านตายังมีปฏิกิริยาต่อแสงพอสมควร วันที่ตรวจพบว่าเด็กเกือบมองไม่เห็นเลย เห็นเพียงมือไหวๆ (hand motion) จึงได้รับมาทำการักษาในโรงพยาบาล จากการตรวจและซักประวัติจึงพบว่า นอกจากตาไม่เห็นแล้ว การได้ยินยังไม่ดีนัก เรียกว่าพิการทั้งตาและหู เมื่อซักประวัติและตรวจอย่างละเอียด จึงพบว่า เด็กหญิงอุบลอยู่ในกลุ่มโรคที่เรียกว่า congenital rubella syndrome (CRS) เกิดความผิดปกติจากการที่แม่เป็นหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก
ภาวะ CRS นี้ รายงานครั้งแรกโดย Norman Mcalister Gregg จักษุแพทย์ชาวออสเตรเลียในสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการระบาดของโรคหัดเยอรมัน ตัวท่านเป็นจักษุแพทย์โรคเด็ก ตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงที่ทำต้อกระจกในระยะนั้น 78 ราย ถามและซักประวัติมารดาเป็นหัดเยอรมันถึง 68 ราย และได้เสนอผลงานนี้ในการประชุมวิชาการว่า พบต้อกระจกในเด็กจำนวนมากในมารดาที่เป็นหัดเยอรมัน เมื่อปี 1941 หลังจากติดตามผู้ป่วยต่อมา มารดาในเด็กกลุ่มนี้แจ้งว่า เด็กมีการได้ยินน้อยกว่าปกติ ท่านได้เสนอให้ที่ประชุมทราบว่า เป็นทั้งต้อกระจกและหูหนวก ซึ่งต่อมา ศาสตราจารย์ Olivia Lancaster จากมหาวิทยาลัย Sydney ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเกี่ยวข้องกับโรคหัดเยอรมันในมารดา เรียกกันว่า CRS
อาการที่ classic ของ CRS ประกอบด้วย 3 อย่าง (triad) ได้แก่ หู ตา และหัวใจ
- sensorial neural deaf (หูหนวกจากระบบประสาทหู) พบได้ถึง 58%
- มีความผิดปกติทางตาพบได้ 43% ได้แก่ ภาวะต้อกระจก, micropathalmos และ retinopaty
- มีความผิดปกติของหัวใจ พบได้ 30% ได้แก่ pulmonary artery stenosis, patent ductus arteriosus (PDA)
ภาวะอื่นที่อาจพบได้บ้าง ได้แก่ ผิดปกติของม้าม ตับ ไขกระดูก microcephaly น้ำหนักแรกคลอดน้อย IQ ต่ำ ตลอดจน thrombocytopenia เป็นต้น
ระยะหลัง มีการศึกษาพบว่า จะเกิดภาวะ CRS ถ้า
- มารดาเป็นหัดเยอรมันในระยะ 0-28 วันก่อนปฏิสนธิ (ก่อนตั้งครรภ์) พบได้ 43%
- อายุครรภ์ 1-12 สัปดาห์ พบได้ 51%
- อายุครรภ์ 13-26 สัปดาห์ พบได้ 23%
- ในไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ เกือบไม่พบเลย
ด้วยเหตุที่อาการของหัดเยอรมันมีน้อยมากเมื่อเทียบกับหัดธรรมดา กล่าวคือ อาจไม่มีอาการอะไรเลย หรือมีการติดเชื้อระบบหายใจส่วนต้น ไข้ต่ำๆ ตาแดง ต่อมน้ำเหลืองหลังหูและท้ายทอยโต มีผื่น maculopapular rash ที่ผิวหนัง
เมื่อมารดาติดเชื้อไวรัสนี้ เด็กในครรภ์ อาจจะ
- ปกติดี
- เสียชีวิตในท้อง
- เด็กเกิดมาพร้อมภาวะ CRS
เมื่อเด็กเกิดมาพร้อมกับภาวะ CRS แพทย์จะรักษาตามอาการที่เป็น สำหรับเด็กหญิงอุบล เมื่อมารับการผ่าตัดต้อกระจก ทำให้สายตาดีขึ้น เริ่มเห็นดีกว่าเดิมมาก จนสามารถไปเรียนในโรงเรียนปกติได้ แต่ต้องได้รับการช่วยเหลือบ้าง เนื่องจากเด็กไม่ได้รับการรักษาแต่แรก อาจมีภาวะตาขี้เกียจร่วมด้วย และโชคดีที่หูยังเสียไม่มาก และหัวใจก็ยังอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างปกติ
การป้องกันมิให้เกิดภาวะ CRS นี้ทำได้โดยรณรงค์การฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมันในสตรีวัยเจริญพันธุ์น่าจะดีที่สุด