สาระน่ารู้จากหมอตา ตอน: การตรวจลานสายตา
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
- 4 มีนาคม 2558
- Tweet
เป็นที่ทราบกันว่า ลานสายตาที่ผิดปกติ เป็นสิ่งที่ตรวจพบได้ในโรคต้อหินที่สำคัญอันหนึ่ง โดยเฉพาะต้อหินเรื้อรัง ลานสายตา นอกจากวินิจฉัยโรคต้อหิน (เพราะจะมีลักษณะเฉพาะ) ยังช่วยดูผลการรักษา ช่วยพยากรณ์โรคว่าต้อหินถึงขั้นรุนแรงแค่ไหน ในโปรแกรมใหม่ ๆ ดูการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาหนึ่ง ยังบอกถึงแนวโน้มการสูญเสียสายตาในภายภาคหน้าว่ามีมากน้อยแค่ไหนได้ด้วย การตรวจลานสายตาได้ผลที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่การตรวจลานสายตาต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วยด้วย โดยสรุป ลานสายตาที่เป็นผลน่าเชื่อถือได้ต้องอาศัย
- ผู้ป่วย ต้องเข้าใจวิธีตรวจและตั้งใจจนกว่าจะตรวจเสร็จ อาจต้องมีสมาธิในการตรวจด้วย
- เจ้าหน้าที่ผู้ทำการตรวจ ควรจะอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจ คอยกำกับให้ผู้ป่วยสื่อออกมาให้ถูกต้อง
- ตัวหมอเองต้องเลือกโปรแกรมการตรวจที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
โดยทั่วไป การดูลานสายตาที่ตรวจได้ ควรคำนึงถึง
- ค่าของความเชื่อถือได้ (reliability) ซึ่งจะแสดงออกในแผ่นภาพ โดยดูที่ Fixation loss, false positive และ false negative error ร่วมกับ gage track monitor ซึ่งดูถึงการกลอกตาของผู้ป่วย
- อย่าลืมถึง leaning effect โดยควรจะใช้การตรวจครั้งที่ 2 หรือ 3 มาเป็นแบบบรรทัดฐาน (ไม่ควรใช้ครั้งแรก) เพราะผู้ป่วยเริ่มเรียนรู้วิธีการตรวจและทำได้ถูกต้องยิ่งขึ้น
- อย่าลืมนึกถึงภาวะหนังตาบนหย่อนในผู้ป่วยบางคน (ผู้ป่วยสูงอายุ มักมีหนังตาหย่อนยาน) ทำให้ตรวจลานสายตาด้านบนผิดไป เพราะหนังตามาบัง
- ขอบของเลนส์ที่วางไม่ตรงกลาง (เลนส์ที่แก้ไขภาวะ presbyope) ต้องพิถีพิถันในการจัดเลนส์ให้อยู่ตรงกลาง (คนสูงอายุต้องแก้ภาวะ presbyope เวลาตรวจด้วยเสมอ)
- ต้องแก้ไขภาวะสายตาผิดปกติของผู้ป่วยด้วยเสมอ
- ขนาดรูม่านตาที่เล็กหรือใหญ่เกินไปจะได้ลานสายตาคลาดเคลื่อนไป ควรมีรูม่านตาขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 มิลิเมตร จึงไม่ควรตรวจหลังขยายม่านตา
- ผู้ป่วยที่มีสายตามัวมากจากภาวะอื่น (สายตา 20/200 ลงมา) ควรใช้ stimulus ขนาดใหญ่ (ขนาด V) และในกรณีที่ผู้ป่วยมีความผิดปกติของ macula ทำให้จ้องเป้าไม่ได้ดี อาจต้องเปลี่ยนเป้าและคอยกำกับดู fixation บ่อยขึ้น
- ผู้ป่วยระยะสุดท้ายของต้อหิน หรือสูญเสียสายตาไปมาก ควรต้องใช้ stimulus ขนาดใหญ่
- ต้องไม่ลืมว่า ความผิดปกติของจอตาบางอย่าง เช่น หลอดเลือดจอตาอุดตัน อาจทำให้มีลานสายตาผิดปกติที่คล้ายกับต้อหิน
- โรคของระบบประสาทบางอย่าง อาจทำให้ลานสายตาผิดปกติคล้ายต้อหินได้
การแปลผลลานสายตาจึงต้องอาศัยการตรวจตาทั้งหมด รวมทั้งระดับสายตา และคำนึงถึง learning effect ตลอดจนความผิดปกติของจอตาและระบบประสาทที่อาจมีอยู่ด้วย