สาระน่ารู้จากหมอตา ตอน 66: ความดันตา (Intraocular pressure)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
- 24 เมษายน 2557
- Tweet
ลูกตาเราเป็นรูปทรงกลม ขนาดลูกมะนาว เปลือกนอกของ ลูกตาเป็นกระจกตา (ตาดำ) และตาขาว ภายในลูกตาประกอบด้วยเนื้อเยื่อต่างๆ ช่วยในการมองเห็น ได้แก่ ม่านตา แก้วตา จอตา และที่มีมากสุดเป็นส่วนที่เป็นน้ำ คือ น้ำ aqueous (ใส) กับน้ำวุ้น (เป็นเมือกคล้ายไข่ขาว) ส่วนที่เป็นน้ำ ช่วยทำให้ลูกตาเป็นทรงอยู่ตัวไม่บุบบิบบู้บี้ กล่าวคือ ดวงตาจะคงทรงรูปอยู่ได้ภายในต้องมีแรงดันพอเหมาะ ถ้าทุกอย่างภายในอยู่นิ่ง ความดันตาจะคงที่ตลอด แต่เราพบว่าแรงดันหรือความดันตามีการเปลี่ยนแปลง เหตุที่มีการขึ้นลงของความดันตาอยู่ที่น้ำ aqueous ในลูกตามีการแลกเปลี่ยนหมุนเวียนกับเลือดภายในร่างกาย กล่าวคือ น้ำ aqueous ถูกสร้างจาก ciliary body ซึ่งอยู่ภายในลูกตาตลอดเวลา ด้วยอัตรา 2 – 2.5 ul / นาที และน้ำนี้จะต้องไหลออกจากตาผ่าน trabecular meshwork (อยู่บริเวณมุมตาตรงบริเวณตาขาวต่อกับตาดำ) ไปตามกระแสเลือด sclerol ploxus หากการสร้างและการไหลออกเป็นไปด้วยอัตราใกล้เคียงกัน ความดันตาจะอยู่ค่อนข้างคงที่ หรือเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย โดยสรุปตัว aqueous ในตาคนเรามีอยู่ประมาณ 0.31 มล. โดยอยู่ช่องหน้าตา (anterior chamber) 0.25 มล. และช่องหลังตา (posterior chamber 0.06 มล. และมีการสร้างจาก ciliary body 2 – 2.5 ul / นาที โดยมีหน้าที่หลัก
- นำอาหารไปเลี้ยงรวมทั้งนำของเสียออกจากส่วนต่างๆ ภายในลูกตา โดยเฉพาะที่ไม่มีหลอดเลือด เช่น แก้วตา กระจกตาด้านใน
- ทำให้ลูกตาทรงตัวอยู่ได้อันจะนำมาซึ่งการหักเหของแสงที่เข้าตามีความสม่ำเสมอ ก่อให้เกิดภาพที่ชัดเจน อีกทั้งตัว aqueous ยังมีค่าดัชนีการหักเหของแสงที่เหมาะสม คือ 1.336
- เป็นตัวดูดซับรังสีต่างๆ ที่ให้โทษแก่ส่วนอื่นของดวงตา โดยเฉพาะรังสียูวีให้เข้าสู่แก้วตา จอตา ได้น้อยลง ความดันตาที่ปกติ หากการสร้าง aqueous และการไหลออกได้สมดุลกัน ความดันตาคนนั้น จะค่อนข้างคงที่หรือเปลี่ยนแปลงได้ บ้างเล็กน้อยมีค่าแตกต่างกัน ได้บ้างในแต่ละบุคคล
มีการศึกษาพบว่าในคนปกติค่าความดันตาจะอยู่ระหว่าง 15.5 +- 2.57 มม.ปรอท เมื่อคิดค่าสูงสุดโดยบวก 2 SD จะได้ 20.5 มม.ปรอท ซึ่งจะครอบคลุมคนปกติได้ถึง 95 % เลยเป็นตัวเลขที่อ้างกันว่า ความดันตาปกติต้องไม่เกิน 21 มม.ปรอท ระดับความดันตาในคนปกติแตกต่างกันได้บ้าง ตาม
- กรรมพันธุ์ เผ่าพันธุ์ พบว่าชาวคอเคเชี่ยนมีความดันตาเฉลี่ย 15.5 มม.ปรอท คนไทยเคยมีการศึกษา พบว่ามีค่า 13.3 มม.ปรอท
- เพศ ชายและหญิงไม่แตกต่างกัน แต่หญิงวัยทอง จะสูงกว่าเล็กน้อย
- อายุ อายุมากขึ้น จะมีค่าความดันตาสูงขึ้น
- ผู้มีสายตาสั้น จะมีความดันตาสูงกว่าคนทั่วไปได้เล็กน้อย
- ในแต่ละเวลาของวัน คนเดียวกันอาจมีค่าความดันต่างกันได้บ้าง เรียกกันว่าเป็น diurnal variation เชื่อว่าน่าจะเกี่ยวกับระดับของฮอร์โมน adrenocorticosteroid ในร่างกาย ชีพจร ความดันโลหิต อัตราการหายใจ ฯลฯ ส่วนใหญ่ความดันตาจะสูงสุดตอนตื่นนอน (ไม่แน่เสมอไป) อย่างไรก็ตามการแปรเปลี่ยนในแต่ละช่วงเวลาของวันในคนปกติประมาณ 2 – 8 มม.ปรอท หากใครมีค่านี้เกิน 8 มม.ปรอท ควรรับการตรวจและติดตามดูในระยะยาว
- ยาหรืออาหารบางอย่างที่มีผลต่อความดันตาบ้าง (ไม่นับยาลดความดันตาโดยเฉพาะ) ได้แก่ เหล้า เฮโรอีน ลดความดันตา ส่วนบุหรี่ กาแฟ เพิ่มความดันตา เป็นต้น
การวัดความดันตา: เป็นที่ทราบกันดีว่า ความดันตาสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอันหนึ่งที่นำมาสู่โรคต้อหิน ซึ่งทำลายจอตาประสาทตา ทำให้ตามัวลงและบอดในที่สุด โดยไม่มีทางแก้ไข (หากปล่อยให้มืดสนิทแล้ว) การวัดความดันตาจึงเป็นการตรวจอันแรกๆ ในการวินิจฉัยโรคต้อหิน การวัดความดันตาในคลินิก ทำได้โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Tonometer ในปัจจุบันที่ทำกัน ได้แก่
- ใช้เครื่องมือที่เรียกกันว่า Schiotz tonometer ใช้กันมากในโรงพยาบาลหรือคลินิกหมอทั่วไป (ไม่ใช่หมอตา/จักษุแพทย์) เป็นเครื่องมือขนาดเล็ก พกพาได้สะดวก การวัดทำได้ง่ายทั้งผู้ช่วยพยาบาล พยาบาล ทั้งหมอทั่วไป ทำได้ง่าย แต่ค่าที่ได้ไม่แม่นยำนักเหมาะกับการตรวจคนหมู่มากเป็นการตรวจคัดกรอง (screening)
-
ใช้เครื่องมือที่เรียก applanation tonometer ส่วนมากวัดโดยจักษุแพทย์ เครื่องมักจะติดกับเครื่องตรวจตาที่เรียกว่า slit lamp ที่หมอตาใช้ตรวจลูกตาทั่วๆ ไป เป็นเครื่องที่แม่นยำที่สุดที่ใช้ในคลินิกปัจจุบัน ข้อเสีย คือ เครื่องมือยุ่งยาก ต้องอาศัยความชำนาญในการวัด เครื่องมือใหญ่ ราคาแพง พกพายาก เป็นการวัดที่จักษุแพทย์ใช้บ่อยสุด โดยเฉพาะการติดตามรักษาผู้ป่วยโรคต้อหิน
ทั้ง วิธี 1 และ 2 ผู้ป่วยต้องได้รับการหยอดยาชาก่อน เพราะเครื่องมือที่วัดต้องสัมผัสกับตาดำจึงมีการเจ็บเล็กน้อย
- ปัจจุบันในการตรวจคัดกรองในประชากรหมู่มาก สามารถวัดโดยใช้ลมเป่า (pneumotonometer) หรือเรียกอีกอย่างว่า non – contact tonometer ไม่มีการสัมผัสลูกตา วัดโดยบุคลากรที่ไม่ต้องฝึกฝนมาก สามารถวัดโดยไม่ต้องถอดคอนแทคเลนส์ (ในกรณีที่ผู้ป่วยใส่คอนแทคเลนส์อยู่)