สาระน่ารู้จากหมอตา ตอน 39: โรคของผิวตาOSDจากการใช้ยาหยอดตารักษาต้อหิน
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
- 10 ตุลาคม 2556
- Tweet
ทั่วโลกมีผู้ป่วยต้อหินมากกว่า 60 ล้านคน และคาดว่าน่าจะเป็น 80 ล้าน ในปี ค.ศ. 2020 และผู้ป่วยต้อหินในสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 40 ต้องใช้ยาหยอดตามากกว่า 1 ตัว/ชนิด คาดว่าบ้านเราก็น่าจะมีไม่น้อยเช่นกัน และมีการสำรวจพบผู้สูงอายุมีถึง 15 % ที่มีปัญหาของผิวตา (ocular surface disease = OSD)และส่วนใหญ่เป็นผู้มีต้อหินร่วมด้วย ในทางกลับกันพบ 60% ของผู้ป่วยต้อหินมีปัญหา OSD และคาดกันว่าอาการของ OSD จะเลวลงจากการใช้ยาหยอดตาที่มีสารกันเสีย (preservative)
อาการของ OSD จากการใช้ยาหยอดต้อหิน มีทั้งตาแห้ง ตาแดง แสบเคืองตา ตาสู้แสงไม่ได้ คล้ายๆมีผงเข้าตา ตลอดจนตาพร่ามัว อาการแสดงของภาวะ OSD ได้แก่ การพบแผลเล็กๆ ที่ผิวกระจกตา (SPK = superficial punctuate keratitis) น้ำตาบริเวณผิวตาไม่คงตัวและมีอาการแห้ง
อาการแสดงต่างๆ ที่พบ ได้แก่
- SPK (superficial punctuate keratitis) อาการแสดงต่างๆ ที่พบ ได้แก่ อาจพบเป็นจุดเล็กๆ ที่ผิวกระจกตา บางรายอาจมีเส้นเมือก (filament keratitis) พบบ่อยในผู้ป่วยที่ใช้ยาในกลุ่ม prostaglandin , belablock และ pilocarpine โดยพบได้ถึง 44% - 46% ในคนที่ใช้ pilocarpine ระยะยาว (ปัจจุบันตัวนี้ใช้น้อยลง) พบ SPK ได้ 18 – 31% ของผู้ป่วยต้อหินจากการศึกษาในประเทศแถบยุโรป ส่วนญี่ปุ่นรายงานว่าพบได้ 20 – 54% อีกทั้งในยุโรปพบว่าอัตราของการเกิดภาวะนี้ในผู้ป่วยที่ใช้ยาหยอดที่มีสารกันเสียเมื่อเทียบกัน ไม่มีสารกันเสียเป็น 25 ต่อ 9
- น้ำตาไม่คงตัว (instability) ได้มีการศึกษาพบความผิดปกติของ tear film break up time (TBUT) Schirmer’s , osmolarity , ตลอดจนการลดลงของการทำงานของต่อม meibomain ทั้งหมดแสดงถึงการไม่คงตัวของผิวน้ำตา ทำให้น้ำตาหล่อลื่นผิวตาไม่ดีจึงเกิดอาการตาแห้งได้ง่าย
-
มีอาการแสดงของการแพ้ยา โดยพบตาแดง เยื่อบุตาบวม หนังตาบวม มีผื่นคันที่เปลือกตา โดยพบลักษณะเยื่อบุตาภูมิแพ้ (allergy conjunctivitis) ได้ 1.5% ในผู้ป่วยใช้ยา prostaglandin พบเปลือกตาอักเสบ (contact dermatitis) 11-13% และผู้ป่วยที่ใช้ dorzolamide พบ conjunctivitis 4% และ brinonidine พบ ocular allergy ได้มากถึง 9 - 11.5% โดยลักษณะการแพ้แตกต่างจากเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ตามฤดูกาล
ภาวะอื่นๆ ที่พบได้ ได้แก่ ภาวะคล้ายโรคผิวหนัง pemphigoid (pseudopemphigoid) พบได้ 28% โดยพบในผู้ใช้ยาหลายตัว (97%) และผู้ป่วยที่ใช้ยา betablock (87%) อีกทั้งมีรายงานของการใช้ prostaglandin พบภาวะโรคผิวหนังจากติดเชื้อไวรัส recusent herpes simplex keratitis โดยเชื่อว่ายา prostaglandin กระตุ้นให้เชื้อไวรัส ออกมาจากปมประสาทและมีรายงานพบภาวะกระจกตาเสื่อมในผู้ใช้ยา dorsolamide โรคของผิวตาที่เกิดขึ้นหลังการใช้ยาหยอดตารักษาต้อหิน คงเป็นที่ต้องใช้ยาเป็นเวลานาน (อาจถึงตลอดชีวิต) บางคนต้องใช้ยาหลายตัว แต่ละวันจึงได้รับสารกันเสีย (preservative) เข้าไปเป็นจำนวนมากจึงมีการสะสมทำให้เกิดอาการต่างๆดังกล่าว
สารกันเสียที่ว่านี้มีปนอยู่ในยาหยอดตาเกือบทุกชนิดที่ใช้ได้หลายวัน (multidose) เป็นยาที่ช่วยรักษาให้ยาหยอดตาที่มีอยู่ปราศจากเชื้อโรคระหว่างที่มีการปิด เปิดขวดหลายครั้ง สารกันเสียนี้แบ่งได้เป็น
- ชนิดที่เป็นสารเคมี (main chemical preservative) มีฤทธิ์เปลี่ยนความสามารถในการให้สิ่งต่างๆซึมผ่านได้ (permeability)ของผนังเซลล์ทำให้เซลล์ของเชื้อโรคและเซลล์ผิวของตาผิดปกติไป ได้แก่ สารเคมีต่างๆ ในกลุ่ม quaternary ammonium เช่น Bengalkonium (BAK) และ Poly quad หรืออาจเป็นสารจำพวก Mercurial derivative เช่น Polyhexamethylene biguanide (PHMD) ที่มีอยู่ในน้ำยาคอนแทคเลนส์หรืออาจเป็นสารจำพวกแอลกอฮอล์ เช่น chlorobutanol
- สารในกลุ่ม oxidative preservative สารนี้จะเข้าผนังเซลล์และไปรบกวนการทำงานของเซลล์นั้นๆ ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ Sodium perborats , Purite เป็นต้น ยาในกลุ่มนี้เมื่อถูกน้ำจะกลายเป็น hydrogen peroxide ซึ่งฆ่าเชื้อโรคได้ และถ้าถูกน้ำตาจะกลับเป็นออกซิเจนและน้ำ จึงเป็นสารที่ให้โทษต่อเซลล์น้อยกว่ากลุ่มแรก
- ยาในกลุ่ม Antioxidant preservative เช่น EDTA , Sorbate
อย่างไรก็ตามยากันเสียที่นิยมใส่ในยาหยอดตารักษาโรคต้อหินมักจะเป็นสาร BAK ซึ่งเป็นสารตัวแรกที่ใช้เพื่อการนี้โดยเริ่มมีใช้ตั้งแต่ ค.ศ.1950 ซึ่งระยะหลังพบว่าทำให้เกิด OSD มาก ต่อมาจึงมีสาร Polyquad ซึ่งมีใช้กันในราว ค.ศ.1980 ซึ่งมีผลเสียน้อยกว่า BAK ระยะหลังมียาหยอดตาที่นำสาร Purite มาผสมเพื่อลดภาวะของ OSD ในผู้ป่วยต้อหิน
เมื่อพบภาวะ OSD มากขึ้นในผู้ป่วยที่ใช้ยารักษาต้อหิน เราจึงต้องพิจารณาเลือกยาหยอดตาที่เหมาะสม ต้องเทียบดูระหว่างผลของการฆ่าเชื้อกับผลแทรกซ้อน OSD ที่เกิดขึ้นด้วยการ
- เลือกดูยาที่ใช้สารกันเสียที่มีผลต่อ OSD น้อย
- อาจพิจารณาเลือกยาที่เรียกกันว่า Combination ซึ่งใช้ยา 2 ตัวรวมอยู่ในขวดเดียวกัน ทำให้ลดจำนวนครั้งของการใช้ยาลง ซึ่งจะลดจำนวนสารกันเสียนี้ไปในตัว
- หากเป็นได้ จะเลือกใช้ยาที่ใช้ครั้งเดียวซึ่งไม่จำเป็นต้องใส่สารกันเสีย ปัจจุบันยานี้มีใช้ในต่างประเทศ บ้านเรายังไม่มีใช้เนื่องจากราคายาค่อนข้างแพง