สารพันปัญหากับไทรอยด์ (ตอนที่ 9)
- โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
- 3 กรกฎาคม 2560
- Tweet
ปัจจัยเสี่ยงของโรคคอพอก ได้แก่
- การขาดสารไอโอดีน
- เพศหญิง
- อายุ (ส่วนใหญ่มีอายุเกิน 40 ปี)
- มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง
- ยาบางชนิด เช่น ยารักษาหัวใจ Amiodarone ยารักษาโรคจิต Lithium
- การได้รับรังสีที่บริเวณคอหรือหน้าอก
อาการแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคคอพอกเล็กน้อยอาจไม่ทำให้เกิดปัญหา แต่สำหรับคอพอกที่มีขนาดใหญ่จะทำให้มีปัญหาเรื่องการหายใจและการกลืน ทั้งยังทำให้ไอและเสียงแหบได้ ส่วนคอพอกที่เกิดจากภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนที่มากหรือต่ำเกินไปอาจทำให้มีอาการอ่อนเพลีย หงุดหงิด และนอนไม่หลับ
การวินิจฉัยว่าเป็นโรคคอพอกอาจทำได้โดย
- การทดสอบฮอร์โมน (Hormone test)
- การทดสอบแอนติบอดี (Antibody test)
- การตรวจอัตราซาวด์ (Ultrasonography)
- การสแกนต่อมไทรอยด์ (Thyroid scan)
- การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ (Biopsy)
สำหรับการรักษาโรคคอพอกขึ้นอยู่กับขนาด สาเหตุ และอาการ ซึ่งแพทย์อาจให้
- สังเกต (Observation) – กรณีที่คอโตไม่มากและไทรอยด์ทำงานปกติ ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหา
- ใช้ยาเพื่อทำให้ระดับฮอร์โมนและขนาดคอกลับสู่ปกติ เช่น ในกรณีที่มีภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนอาจให้ ยา Levothyroxine รวมถึงยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบ
- ผ่าตัด กรณีที่ทำให้กลืนหรือหายใจลำบาก
- ใช้รังสีไอโอดีน
ส่วนกรณีที่เป็นโรคคอพอกเพราะขาดสารไอโอดีน จะทำการเพิ่มสารไอโอดีนด้วยการกินอาหารทะเล สาหร่าย หรือเกลือผสมไอโอดีน เพื่อให้ได้ไอโอดีนประมาณวันละ 150 มิลลิกรัม อย่างไรก็ดี ต้องระวังไม่ให้มีไอโอดีนเกินขนาดด้วย เพราะบางครั้งไอโอดีนที่มากเกินก็ทำให้เกิดโรคคอพอกได้เช่นกัน
แหล่งข้อมูล:
1. Goiter. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/goiter/home/ovc-20264589 [2017, July 02].