ลมชักแยกจากเป็นลมหมดสติอย่างไร ทำไมต้องแยก 2 ภาวะนี้ออกจากกัน

ลมชักแยกจากเป็นลมหมดสติอย่างไร

เนื่องมาจากผู้มีอาการหมดสติ และ/หรือมีอาการเกร็งกระตุกร่วมด้วย 2 ภาวะนี้ คือเป็นลมกับลมชักมีอาการคล้ายกันมาก พบว่า 1 ใน 3 ของการวินิจฉัยของแพทย์มีโอกาสให้การวินิจฉัยได้ไม่ถูกต้อง กล่าวคือ คนที่เป็นลมอาจถูกวินิจฉัยเป็นอาการชัก และคนที่เป็นอาการชัก็อาจวินิจฉัยเป็นลมได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากมีอาการใกล้เคียงกันมาก ดังนั้นจึงต้องรู้จัก 2 ภาวะนี้เป็นอย่างดี

สิ่งที่ต้องสังเกตุให้ดีเพื่อแยก 2 ภาวะนี้ออกจากกัน

สิ่งที่ต้องสังเกตลมชัก เป็นลม
ท่าทางที่เกิดอาการลมชักนั้นสามารถเกิดอาการชักได้ทุกท่าทาง ไม่ว่าจะเป็นท่านั่ง ยืน นอน เพราะอาการที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนท่าทางใดๆ ลมชักนั้นสามารถเกิดอาการชักได้ทุกท่าทาง ไม่ว่าจะเป็นท่านั่ง ยืน นอน เพราะอาการที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนท่าทางใดๆ
ลูกตาลมชักนั้นสามารถเกิดอาการชักได้ทุกท่าทาง ไม่ว่าจะเป็นท่านั่ง ยืน นอน เพราะอาการที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนท่าทางใดๆ ตาหลับ ไม่มีอาการตาเหลือกค้าง ลูกตาอาจกลอกไปมาได้ บางคนก็อาจตาเปิดโตได้ แต่จะไม่มีตาเหลือกค้าง ยกเว้นมีอาการนานพอสมควรก็จะมีอาการคล้ายชักได้
เกร็ง กระตุกเริ่มด้วยอาการเกร็งแขน ขา และตามด้วยกระตุก บางครั้งมีส่งเสียงร้องดัง บางคนกัดลิ้นด้วยแต่พบไม่บ่อย รูปแบบอาการผิดปกติจะมีลักษณะเฉพาะ ชัดเจนเป็นรูปแบบเหมือนเดิมทุกครั้ง ส่วนใหญ่แล้วจะตัวอ่อนปวกเปียก ค่อยๆ ล้มลง ไม่ค่อยพบอาการเกร็งกระตุก แต่ถ้ามีก็จะมีอาการเกร็ง และกระตุกแขน ขาเป็นระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ครั้ง และไม่เป็นรูปแบบชัดเจน
กัดลิ้นการกัดลิ้นพบได้ประมาณร้อยละ 4 และตำแหน่งที่กัดลิ้น คือ พบบริเวณด้านข้างของลิ้น ไม่ใช่ด้านหน้าของลิ้นคนที่เป็นลมจะไม่พบการกัดลิ้น ยกเว้นเป็นลมนานและเกิดอาการชักระยะเวลาสั้นๆ ตามมาเท่านั้น ซึ่งก็แทบไม่พบการกัดลิ้น
สีของใบหน้าคนที่ชักนั้นมักจะไม่มีการเปลี่ยนสีของใบหน้า ยกเว้นเป็นนานๆ และขาดออกซิเจน ใบหน้า ริมฝีปากจึงมีสีเขียว คล้ำถ้าชักเป็นระยะเวลานานใบหน้าจะมีสีซีด เนื่องจากเกิดเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ช่วงก่อนที่จะมีอาการเป็นลมนั้น สีหน้าของคนที่เป็นลมก็จะค่อยๆ เปลี่ยนสีจากปกติ เป็นค่อยๆ ซีดลง
ปัสสาวะราดพบบ่อย เนื่องจากคนที่เป็นอาการชักนั้นจะหมดสติ ไม่สามารถควบคุมหูรูดได้ จึงเกิดอาการปัสสาวะราดได้บ่อยพบน้อยกว่า เหตุเพราะเกิดอาการหมดสติเช่นกัน ไม่สามารถควบคุมหูรูดได้ ดังนั้นถ้าคนที่เป็นลมมีปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะมากๆ ก็จะเกิดอาการปัสสาวะราดได้เช่นกัน แต่พบได้ไม่บ่อยเท่าลมชัก เพราะช่วงที่หมดสติจะสั้นมาก
สิ่งกระตุ้นก่อนเกิดอาการการชักนั้นเกิดขึ้นเองได้ โดยไม่มีปัจจัยกระตุ้น การอดนอน ดื่มแอลกอฮอล์ เครียดเป็นตัวกระตุ้นที่พบบ่อย อาการชักนั้นก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายถ้ามีตัวกระตุ้นอาการเป็นลมส่วนใหญ่แล้วมักเดิดจากมีปัจจัยกระตุ้น เช่น ยืนนาน ๆตากแดด หิวข้าว หิวน้ำ เบ่งปัสสาวะ พักผ่อนไม่พอ
อาการนำก่อนมีอาการการชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัวนั้นมักจะไม่มีอาการนำ แต่ถ้ามีอาการนำ อาการนำที่พบบ่อย คืออาการปั่นป่วนในท้อง อาการนำมักพบในทุกคนก่อนที่จะเป็นลม คือ หน้าซีด เหงื่อออก ใจสั่น หวิวๆ แล้วก็ตามด้วยหน้ามืด หมดสติล้มลง
หมดสติการชักแบบทั่วทั้งตัว จะหมดสติ ไม่รู้สึกตัวเลย ไม่ได้ยินเสียงคนรอบข้าง ไม่สามารถโต้ตอบกับคนรอบข้างที่เรียกได้เบลอๆ อาจได้ยินเสียงคนเรียก แต่ไม่สามารถโต้ตอบได้ จำเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็วทันทีหลังฟื้น
ปวดศีรษะหลังจากหยุดชัก จะมีอาการปวดศีรษะอยู่นานเป็นชั่วโมงหลังการเป็นลม จะมีอาการปวดศีรษะไม่นาน ไม่กี่นาทีก็หาย
ระยะเวลามีอาการการชักนั้นจะมีระยะเวลานานประมาณ 30-120 วินาที แล้วหยุดเองการเป็นลมจะมีระยะเวลาช่วงสั้นๆ พอได้นอนพัก อาการก็ดีขึ้น
ฟื้นคืนสติค่อยๆ ฟื้นคืนสติหลังจากหยุดชัก จะมีอาการมึนๆ งง งงฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็วหลังจากนอนลงกับพื้น

การแยกอาการชัก และเป็นลมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นถ้าพบเห็นผู้มีอาการเกร็ง กระตุก หมดสติ ควรตั้งสติเราให้ดี และพยายามจดจำรายละเอียดอาการต่างๆ ให้มากที่สุด ถ้าบันทึกภาพเคลื่อนไหวไว้ด้วย ยิ่งดี