ลมชักแยกจากเป็นลมหมดสติอย่างไร ทำไมต้องแยก 2 ภาวะนี้ออกจากกัน
- โดย ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า
- 23 สิงหาคม 2559
- Tweet
เนื่องมาจากผู้มีอาการหมดสติ และ/หรือมีอาการเกร็งกระตุกร่วมด้วย 2 ภาวะนี้ คือเป็นลมกับลมชักมีอาการคล้ายกันมาก พบว่า 1 ใน 3 ของการวินิจฉัยของแพทย์มีโอกาสให้การวินิจฉัยได้ไม่ถูกต้อง กล่าวคือ คนที่เป็นลมอาจถูกวินิจฉัยเป็นอาการชัก และคนที่เป็นอาการชัก็อาจวินิจฉัยเป็นลมได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากมีอาการใกล้เคียงกันมาก ดังนั้นจึงต้องรู้จัก 2 ภาวะนี้เป็นอย่างดี
สิ่งที่ต้องสังเกตุให้ดีเพื่อแยก 2 ภาวะนี้ออกจากกัน
สิ่งที่ต้องสังเกต | ลมชัก | เป็นลม |
---|---|---|
ท่าทางที่เกิดอาการ | ลมชักนั้นสามารถเกิดอาการชักได้ทุกท่าทาง ไม่ว่าจะเป็นท่านั่ง ยืน นอน เพราะอาการที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนท่าทางใดๆ | ลมชักนั้นสามารถเกิดอาการชักได้ทุกท่าทาง ไม่ว่าจะเป็นท่านั่ง ยืน นอน เพราะอาการที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนท่าทางใดๆ |
ลูกตา | ลมชักนั้นสามารถเกิดอาการชักได้ทุกท่าทาง ไม่ว่าจะเป็นท่านั่ง ยืน นอน เพราะอาการที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนท่าทางใดๆ | ตาหลับ ไม่มีอาการตาเหลือกค้าง ลูกตาอาจกลอกไปมาได้ บางคนก็อาจตาเปิดโตได้ แต่จะไม่มีตาเหลือกค้าง ยกเว้นมีอาการนานพอสมควรก็จะมีอาการคล้ายชักได้ |
เกร็ง กระตุก | เริ่มด้วยอาการเกร็งแขน ขา และตามด้วยกระตุก บางครั้งมีส่งเสียงร้องดัง บางคนกัดลิ้นด้วยแต่พบไม่บ่อย รูปแบบอาการผิดปกติจะมีลักษณะเฉพาะ ชัดเจนเป็นรูปแบบเหมือนเดิมทุกครั้ง | ส่วนใหญ่แล้วจะตัวอ่อนปวกเปียก ค่อยๆ ล้มลง ไม่ค่อยพบอาการเกร็งกระตุก แต่ถ้ามีก็จะมีอาการเกร็ง และกระตุกแขน ขาเป็นระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ครั้ง และไม่เป็นรูปแบบชัดเจน |
กัดลิ้น | การกัดลิ้นพบได้ประมาณร้อยละ 4 และตำแหน่งที่กัดลิ้น คือ พบบริเวณด้านข้างของลิ้น ไม่ใช่ด้านหน้าของลิ้น | คนที่เป็นลมจะไม่พบการกัดลิ้น ยกเว้นเป็นลมนานและเกิดอาการชักระยะเวลาสั้นๆ ตามมาเท่านั้น ซึ่งก็แทบไม่พบการกัดลิ้น |
สีของใบหน้า | คนที่ชักนั้นมักจะไม่มีการเปลี่ยนสีของใบหน้า ยกเว้นเป็นนานๆ และขาดออกซิเจน ใบหน้า ริมฝีปากจึงมีสีเขียว คล้ำถ้าชักเป็นระยะเวลานาน | ใบหน้าจะมีสีซีด เนื่องจากเกิดเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ช่วงก่อนที่จะมีอาการเป็นลมนั้น สีหน้าของคนที่เป็นลมก็จะค่อยๆ เปลี่ยนสีจากปกติ เป็นค่อยๆ ซีดลง |
ปัสสาวะราด | พบบ่อย เนื่องจากคนที่เป็นอาการชักนั้นจะหมดสติ ไม่สามารถควบคุมหูรูดได้ จึงเกิดอาการปัสสาวะราดได้บ่อย | พบน้อยกว่า เหตุเพราะเกิดอาการหมดสติเช่นกัน ไม่สามารถควบคุมหูรูดได้ ดังนั้นถ้าคนที่เป็นลมมีปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะมากๆ ก็จะเกิดอาการปัสสาวะราดได้เช่นกัน แต่พบได้ไม่บ่อยเท่าลมชัก เพราะช่วงที่หมดสติจะสั้นมาก |
สิ่งกระตุ้นก่อนเกิดอาการ | การชักนั้นเกิดขึ้นเองได้ โดยไม่มีปัจจัยกระตุ้น การอดนอน ดื่มแอลกอฮอล์ เครียดเป็นตัวกระตุ้นที่พบบ่อย อาการชักนั้นก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายถ้ามีตัวกระตุ้น | อาการเป็นลมส่วนใหญ่แล้วมักเดิดจากมีปัจจัยกระตุ้น เช่น ยืนนาน ๆตากแดด หิวข้าว หิวน้ำ เบ่งปัสสาวะ พักผ่อนไม่พอ |
อาการนำก่อนมีอาการ | การชักแบบเกร็งกระตุกทั้งตัวนั้นมักจะไม่มีอาการนำ แต่ถ้ามีอาการนำ อาการนำที่พบบ่อย คืออาการปั่นป่วนในท้อง | อาการนำมักพบในทุกคนก่อนที่จะเป็นลม คือ หน้าซีด เหงื่อออก ใจสั่น หวิวๆ แล้วก็ตามด้วยหน้ามืด หมดสติล้มลง |
หมดสติ | การชักแบบทั่วทั้งตัว จะหมดสติ ไม่รู้สึกตัวเลย ไม่ได้ยินเสียงคนรอบข้าง ไม่สามารถโต้ตอบกับคนรอบข้างที่เรียกได้ | เบลอๆ อาจได้ยินเสียงคนเรียก แต่ไม่สามารถโต้ตอบได้ จำเหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็วทันทีหลังฟื้น |
ปวดศีรษะ | หลังจากหยุดชัก จะมีอาการปวดศีรษะอยู่นานเป็นชั่วโมง | หลังการเป็นลม จะมีอาการปวดศีรษะไม่นาน ไม่กี่นาทีก็หาย |
ระยะเวลามีอาการ | การชักนั้นจะมีระยะเวลานานประมาณ 30-120 วินาที แล้วหยุดเอง | การเป็นลมจะมีระยะเวลาช่วงสั้นๆ พอได้นอนพัก อาการก็ดีขึ้น |
ฟื้นคืนสติ | ค่อยๆ ฟื้นคืนสติหลังจากหยุดชัก จะมีอาการมึนๆ งง งง | ฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็วหลังจากนอนลงกับพื้น |
การแยกอาการชัก และเป็นลมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นถ้าพบเห็นผู้มีอาการเกร็ง กระตุก หมดสติ ควรตั้งสติเราให้ดี และพยายามจดจำรายละเอียดอาการต่างๆ ให้มากที่สุด ถ้าบันทึกภาพเคลื่อนไหวไว้ด้วย ยิ่งดี