ลมชักฉันรักเธอ ภาค2: ความจริงที่น้องออยค้นพบ

ลมชักฉันรักเธอ2

การสอบบล็อกเด็กผ่านไป ที่บอกว่าจะไม่เครียด หนูก็ยังเครียดอยู่ดี (แม้ว่าจะไม่มากเท่าแต่ก่อน) และไม่ค่อยได้นอน หลังสอบเสร็จ หนูก็ตกใจเมื่ออาจารย์มาบอกว่า หนูไม่ได้ทำข้อสอบบางส่วน ซึ่งอาจารย์คิดว่าหนูน่าจะชักเหม่อในช่วงที่ให้ทำข้อนั้น แต่ยังไงตอนนี้ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว(เนื่องจากหนูเองก็ไม่ได้บอกอาจารย์ก่อนว่าหนูเป็นลมชักและช่วงนี้ชักบ่อยขึ้น) เลยได้แต่รอคะแนนรวมออกมา ซึ่งหนูตกเพราะคะแนนข้อที่หนูไม่ได้ทำหายไป ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะสู้ใหม่อีกครั้ง

หลังจบบล็อกเด็กหนูมีเวลาว่าง 6 สัปดาห์ หนูใช้เวลาว่างส่วนหนึ่งในการไปปฏิบัติธรรม ที่ศูนย์ธรรมสุวรรณา ตามแนวทางปฏิบัติของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า

หนูเขียนในใบสมัครหลักสูตรปฏิบัติธรรมว่าหนูมีโรคประจำตัวคือลมชัก แต่หนูคิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาที่ทำให้ปฏิบัติธรรมไม่ได้ วันแรกที่ไปถึงสถานปฏิบัติ พี่เจ้าหน้าที่ก็เข้ามาบอกว่า อาจารย์ผู้สอนอยากพบ

"หนูเป็นโรคลมชัก แล้วหนูจะปฏิบัติไหวหรือเปล่า ที่ถามก็เพราะว่ากลัวจะเป็นอุปสรรค ถ้าทำไม่สำเร็จ หนูจะเสียกำลังใจ และเสียเวลาเปล่าๆ" สีหน้าของอาจารย์ผู้สอนปฏิบัติธรรมดูเป็นห่วงเป็นใย ขณะเรียกมาสอบถามเรื่องอาการชัก ยาที่กิน ผลข้างเคียง และความพร้อมในการเข้าอบรมวิปัสสนากรรมฐาน

ในใบข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรเขียนไว้ว่าผู้มีปัญหาด้านโรคจิตประสาทไม่ควรเข้าฝึกอบรม ไม่ให้ใช้ยาที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาทในช่วงที่ฝึกปฏิบัติ เนื่องจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่นี่เข้มงวดและหนักพอสมควร

"มันอาจจะเป็นอุปสรรคก็จริง แต่หนูคิดว่าตัวเองจะทำได้ค่ะ ถึงยังไง หนูก็ตั้งใจจะทำให้ดีที่สุดค่ะ"

หนูก็ไม่ได้ตั้งใจว่าธรรมะจะต้องรักษาหนูให้หายจากโรคได้ แต่ที่ผ่านมานี้ ทั้งอาการของโรคลมชัก ภูมิแพ้ ทั้งพายุอารมณ์อันรุนแรงที่ยากจะต้านทานไหว ทำให้หนูรู้สึกว่าชีวิตตัวเองแย่ลงมากๆ จึงเป็นแรงผลักดันให้หนูอยากจะพัฒนาจิตใจให้เข้มแข็งขึ้น เพื่อร่างกายจะอ่อนแอจะได้มีแรงสู้ต่อไป

หลักการของหลักสูตรปฏิบัติธรรมนี้ ไม่ต้องกราบไหว้ (เพราะไม่มีพระพุทธรูปและพระภิกษุ) ไม่ต้องบริกรรมท่องบทสวดต่างๆ ไม่มีพิธีกรรมใด แต่จะเน้นการวิปัสสนากรรมฐานตามแบบดั้งเดิมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ซึ่งนำไปสู่การหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง พูดง่ายๆ คือ เป็นภาคปฏิบัติล้วนๆ

ที่นี่จะมีกฎที่แตกต่างจากสถานปฏิบัติธรรมอื่นๆ คือ มีกฎของความเงียบ ในช่วง 10 วันของคอร์สปฏิบัติธรรมนี้ ห้ามพูดคุยกัน หรือสื่อสารกับผู้อื่น ทั้งภายนอกและภายในศูนย์ปฏิบัติธรรม ของมีค่า โทรศัพท์และอุปกรณ์ที่ใช้สื่อสารได้จะถูกยึดหมด พูดง่ายๆ คือ ให้มีจิตใจจดจออยู่กับการปฏิบัติอย่างเดียว ซึ่งตอนแรกเมื่อแม่ทราบกฏเหล่านี้ ก็ค่อนข้างเป็นห่วง ว่าจะหันหลังกลับบ้านดีไหม แต่หนูตั้งใจที่จะมาปฏิบัติจริงๆ ยังไงก็ต้องอยู่ให้ได้

สิ่งที่ต้องทำ จำไม่ยาก มีแค่ 3 อย่าง ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา มาที่นี่ก็คือ ต้องรักษาศีลอย่างเคร่งครัด (ผู้ปฏิบัติใหม่ถือ ศีล5 ผู้ปฏิบัติเก่าถือศีล 8) ฝึกสมาธิ การฝึกอานาปานสติ และพัฒนาปัญญา คือ วิปัสสนา นั่นเองค่ะ

ข้อคิดจากหมอสมศักดิ์

ผมเคยสอบถามผู้ป่วยหลายต่อหลายคนว่าถ้าตนเองมีทุกข์ เพราะเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แล้วก็ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เหมือนแต่ก่อน ต้องให้คนอื่นๆ ช่วยดูแลตนเอง ส่งผลให้มีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมาก ทำอย่างไรให้ชีวิตมีความสุขบ้าง ไม่มากก็น้อย ทุกคนให้คำตอบเหมือนกันไม่ว่าจะอายุมากน้อยแค่ไหน ร่ำรวยหรือยากจน ตอบเหมือนกัน คือ เข้าใกล้ศาสนามากขึ้น ไปวัดสวดมนตร์มากขึ้น

การเข้าใกล้ศาสนามากขึ้นอย่างน้อยก็ทำให้จิตใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ได้เวลาเพิ่มมากขึ้น ได้พิจารณาตนเองให้ดียิ่งขึ้น เข้าใจชีวิตมากขึ้น สุดท้าย คือ การยอมรับ การปรับตัว การไม่คาดหวังอะไรที่มากหรือสูงเกินไป การอยู่กับความจริง สิ่งต่าง ๆเหล่านี้ เป็นการสร้างความสุขให้กับชีวิตที่ไม่ได้เลือกในตอนแรก หรือช่วงที่มีชีวิตปกติ แต่เจ็บป่วย หรือมีปัญหาก็ได้ย้อนกลับมาคิดว่าตนเองเกิดมาเพื่ออะไร อะไรคือ สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ความสุขก็มาหา ส่งผลให้อาการต่างๆ ก็ดีขึ้น

ถ้าอธิบายในศาสตร์ปัจจุบัน แบบมีเหตุและผล ก็คือ การที่ร่างกายมีความสุขมากขึ้น สมาธิดีขึ้น ความเครียดลดลง พักผ่อนเพียงพอ ก็เป็นการสร้างสิ่งดีต่อร่างกาย ให้มีการหลั่งสารเคมีต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากยิ่งขึ้น สามารถรักษาโรคต่างๆ ได้มากมาย โดยเฉพาะโรคที่มีสาเหตุจากความเครียดเป็นส่วนประกอบ

เมื่อเรารู้ว่าการเข้าใกล้ศาสนาเป็นสิ่งที่ดี ทั้งต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตแล้ว เราจะรออะไร เชิญชวนทุกคน ทุกศาสนาให้เข้าใกล้ศาสนามากขึ้น รีบปฏิบัติเหมือนน้องออยซะ ชีวิตก็จะมีความสุขมากขึ้น