My Epilepsy Diary ลมชัก…..ฉันรักเธอ ตอนที่ 7: สุขภาพคือสิ่งสำคัญที่สุด

ณ ห้องประชุมที่ฝ่ายวิชาการ อาจารย์ธงชัย(รองคณบดีฝ่ายวิชาการ)เดินมานั่งที่หัวโต๊ะ ซึ่งหนูได้นั่งรออยู่ก่อนแล้ว อาจารย์สมศักดิ์นั่งอยู่ตรงข้ามหนู ถัดมาคืออาจารย์โฉมพิลาศ หัวหน้าฝ่ายวิชาการภาควิชาสูตินรีเวช และอาจารย์ ธีระยุทธ อาจารย์ที่ปรึกษาของหนู

อาจารย์คุยกันด้วยท่าทางที่ดูสบายๆ แต่ในใจหนูกลับรู้สึกเครียดเหลือเกิน

หลังจากที่วันนี้ หนูได้ทราบมาว่า คะแนนสอบกลางภาคของหนูไม่ดีนัก เพราะหนูมีอาการชักระหว่างสอบ และอาการชักของหนูยังควบคุมได้ไม่ดี ทำให้มีปัญหากับการเรียน ทั้งเรียนเนื้อหาไม่ต่อเนื่องกัน ทั้งต้องทนผลข้างเคียงของยาที่ทำให้ง่วง หนูจึงจำเป็นต้องหยุดยาเองบ่อยๆ เนื่องจากอ่านหนังสือไม่ทัน อาจารย์ทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลหนูให้ความเห็นตรงกันว่า หนูควรลาพักการเรียนเพื่อให้ควบคุมอาการให้ได้ดี ก่อนที่จะกลับมาเรียนใหม่ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนูเคารพในความเห็นของอาจารย์ และหนูตัดสินใจทำตามนั้น แต่ในตอนแรก สิ่งที่หนูกลัวคือการบอกป๊ากับแม่ อาจารย์สมศักดิ์ได้คุยกับหนูต่อเป็นการส่วนตัว ซึ่งอาจารย์ก็ได้สละเวลาเล่าประสบการณ์มากมายให้หนูฟัง

ก่อนกลับ อาจารย์ได้บอกหนูว่า อาจารย์ได้เห็นอาการของหนูแล้วล่ะ (ซึ่งหนูเองก็ยังไม่ทราบว่าเมื่อไหร่)

คืนนี้หนูนอนไม่หลับเลยค่ะอาจารย์ ทั้งๆที่หนูกินยาแล้ว ง่วงแล้ว แต่มีเรื่องให้คิดมากมาย ขอโทษด้วยนะคะที่วันนี้รบกวนอาจารย์นานไปหน่อย และต้องขอบคุณอาจารย์ อ.ธงชัย อ.หลอด อ.แจ๊ค ที่สละเวลามาช่วยหนูแก้ปัญหา

หนูคิดว่าหนูรับได้กับเรื่องนี้ค่ะ แต่คุยกับอาจารย์เสร็จก็ยังหนีไปร้องไห้คนเดียว หนูพยายามเข้มแข็งมาตลอด ที่ผ่านมาหนูเจอปัญหามากมาย แต่หนูไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นเลย

คิดไปก็เสียดายกับสิ่งที่ผ่านมา ในที่นี้หนูหมายความว่า การที่หนูต้องเครียด อดนอน ไม่กินยา พยายามทำอะไรให้ได้เท่าเพื่อน เพื่อให้ได้คะแนน ให้เรียนผ่าน ทั้งๆที่มันก็ทำให้ตัวหนูเองแย่ลง และคะแนนที่ออกมาก็ไม่ได้มากขึ้นเลย เวลาที่หนูมีอาการเพราะหยุดยาเองบ้าง ลืมกินบ้าง หนูมักจะโดนว่าเสมอ (โดยเฉพาะแม่ อาจารย์หลายๆท่าน และรุ่นพี่) และหนูก็สารภาพตามตรงกับอาจารย์ทุกครั้ง แต่อาจารย์ไม่เคยว่าหนูสักคำ แล้วบอกว่า "อาจารย์เข้าใจหนูนะ" ได้ยินคำนี้แล้วหนูรู้สึกผิดยิ่งกว่าโดนว่าเสียอีก และทำให้หนูรู้สึกว่าไม่อยาก หยุด ยาเองอีกเลยค่ะ

และที่สำคัญ หนูได้คุยกับป๊าแล้วนะคะ ตอนที่หนูโทรไปหาแม่ สรุปว่าแม่ยังไม่ไปกรุงเทพเลยค่ะ แม่บอกว่าไปพรุ่งนี้เช้า ป๊าเลยได้ยินเสียงแม่คุยกับหนูค่ะ พอป๊ารู้แล้ว ก็อย่างที่อาจารย์บอกหนูเลย ป๊าบอกว่ายังไงก็ได้แล้วแต่หนู ส่วนแม่ก็สนับสนุนไปทางลาพักการเรียนค่ะ ตอนนี้ป๊ากับแม่เข้าใจเหตุผลของอาจารย์แล้วนะคะ

สี่เดือนที่ผ่านมา มีอะไรที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหนูมากมาย แม้ว่ามันจะยากลำบาก แต่หนูก็คิดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีและสอนหนูหลายๆอย่าง

ไม่น่าเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจาก คำถามเดียว ของ อ.สุดา อาตั่วเจ้ของหนูเอง ฝากส่งข่าวให้ อ.สุดาด้วยนะคะ ครอบครัวของอาจารย์สนิทกับครอบครัวหนูมานานแล้ว ป๊าเป็นคนทำให้อาจารย์ได้เรียนแพทย์ และได้ไปเรียนต่อเมืองนอก อาจารย์ก็เหมือนพี่สาวคนโตของหนู และได้ช่วยหนูในหลายๆเรื่อง ฝากบอกขอบคุณอาจารย์ที่พาหนูเดินมาถูกทาง ไม่งั้นหนูก็คงยังแก้ปัญหาได้ไม่ตรงจุดหรอกค่ะ

หลังจากนี้ หนูก็ไม่ทราบว่าป๊ากับแม่จะวางแผนชีวิตให้หนูยังไง และตัวหนูเองจะเป็นอย่างไร เปิดคีย์บอร์ด เล่นเพลง Que Sera Sera แล้ว หนูก็ร้องไห้อีกรอบ และหนูไม่อยากจะตั้งความหวังว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องดีขึ้น อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด แค่เราตั้งใจ ทำทุกวันให้ดีที่สุด และที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีกว่าเดิมแล้ว อย่างน้อยเวลาใน 1 วันของหนูมันก็มากขึ้น หนูสัญญา ว่าหนูจะพยายามรักษาตัวเองให้ดีที่สุดนะคะ

บทสรุป ผู้ป่วยโรคลมชักจะมีอาการมากขึ้นเมื่อพักผ่อนไม่พอ มีความเครียด บางครั้งการฝืนทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ตนเองผ่านช่วงเวลาที่มีปัญหานั้นไปได้ อาจเป็นการทำให้อาการทรุดลง ดังนั้นสิ่งแรก คือ การยอมรับว่าตนเองนั้นมีข้อจำกัดอะไร และบางครั้งเราอาจต้องเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตก่อน คือ สุขภาพที่ดี เพราะเมื่อเรามีสุขภาพที่ดีก็จะทำให้เรามีพลัง มีความพร้อมในการทำกิจกรรมอื่นๆต่อได้เมื่อสุขภาพแข็งแรง ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยโรคลมชักมาถึงจุดเปลี่ยนแปลงของชีวิตโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน ไม่ได้เตรียมใจที่ต้องลาพักการเรียนเพราะป่วยด้วยโรคลมชัก ซึ่งส่งผลให้เรียนไม่รู้เรื่อง ทำข้อสอบไม่ได้ ปฏิกิริยาตอบสนองคือ เศร้า ผิดหวัง เสียใจและกังวล สิ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยดีขึ้นคือญาติสนิทมิตรสหายรวมทั้งครู อาจารย์ ที่เข้าใจ ยอมรับ ให้กำลังใจ ผู้ป่วยก็จะรู้สึกดีและผ่านช่วงนี้ไปได้