My Epilepsy Diary ลมชัก…..ฉันรักเธอ ตอนที่ 28: ลมชัก…..ฉันรักเธอ

Happy Birthday to You, Epilepsy.

วันนี้… เมื่อปีที่แล้ว เป็นวันที่หนูจำได้ดี วันที่เปลี่ยนชีวิตหนูไปอย่างสิ้นเชิง

เมื่อหลับตาลง ทุกเรื่องราว ทุกความรู้สึก ยังคงชัดเจนราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้

วันที่หนูได้รับรู้ว่า หนูเป็นโรคลมชัก

เวลาหนึ่งปีมันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน แต่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปมากมาย หนูรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เข้มแข็งขึ้น สุขุมขึ้น ใช้สติมากกว่าอารมณ์ วางแผนชีวิตและคิดแก้ปัญหาด้วยตัวเองมากขึ้น หนูคงจะทำให้ตัวเองหายจากโรคในเวลาอันสั้นไม่ได้ แต่หนูต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันให้ได้ โดยที่ไม่ต้องพึ่งใคร หนูต้องยืนอยู่บนขาทั้งสองข้างของตัวเองให้ได้ ถึงแม้ว่าขาคู่นี้อาจจะไม่ได้แข็งแรงเท่าขาคู่อื่นๆก็ตาม

ตอนนี้หนูกลับมาเรียนแล้ว แม้จะเรียนเรื่องเดิม และยังอยู่ปี 4 เหมือนเดิม แต่มีหลายอย่างที่เปลี่ยนไป เพื่อนๆที่เคยเรียนกับหนูส่วนใหญ่ก็ขึ้นปี 5 กันหมด ซึ่งจะมีช่วงบล็อก minor ที่ทำให้ต่างคนมีเวลาไปท่องเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน แค่ได้เห็นรูปเพื่อนๆ ที่ถ่ายกันตอนไปเที่ยวใน Facebook ก็นึกอยากมีเวลาไปพักผ่อนอย่างนี้บ้าง แต่หนูคงทำไม่ได้(ขนาดบทความที่เขียนค้างไว้ยังต้องหยุดไว้ชั่วคราว) หนูยังมีหน้าที่ที่หนูต้องทำให้สำเร็จ

ก่อนหนูจะขึ้นมาเรียนสูตินรีเวช ในใจลึกๆก็ยังกังวลอยู่ว่ารอบนี้หนูจะผ่านไปได้อย่างสวยงามเหมือน ortho ไหม ถ้าบังเอิญหนูมีอาการชักตอนทำคลอด หรือตอนสอบอีก และหนูคิดว่าหนูคงไม่มีเพื่อน เพราะไม่มีรุ่นหนูคนไหนเลยที่ต้องมาเรียนบล็อกนี้ใหม่ หนูต้องเรียนกับรุ่นน้อง บางคนก็เคยรู้จักกันมาบ้าง แต่คงไม่สนิทเหมือนเพื่อนๆที่เรียนด้วยกันมาหลายปี และรุ่นน้องคงเก่งกว่าหนูแน่นอน

แต่พอได้มาเป็น "นศ.พ.ปี 4 ครึ่ง" ในหมู่น้องๆ ปี 4 แล้ว มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้เลย ที่จริงคือดีกว่าที่คิดไว้มากๆ เหมือนหนูได้รู้จักเพื่อนใหม่เพิ่มอีกหลายคน เพื่อนที่สนใจและพร้อมจะเข้าใจปัญหาของหนู และช่วยเหลือหนูได้เวลาเรียนไม่ทัน หรือมีปัญหาอะไรก็ตาม

แม้ว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา ที่หนูได้ใช้ชีวิตอยู่กับโรคลมชัก หนูต้องลาพักการเรียนไปถึงครึ่งปี และไม่ได้ไป elective เหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน หรือเที่ยวไหนเลยก็ตาม แต่มันก็เป็นเวลาที่หนูได้เรียนรู้ ได้เห็นแง่มุมของชีวิตในหลายๆ ด้าน คงต้องขอบคุณโรคลมชักที่ทำให้หนูได้สัมผัสประสบการณ์อันล้ำค่าที่สุดในชีวิต ที่เพื่อนอีกหลายคนไม่มีโอกาสได้รับ

ปีแรกที่หนูได้อยู่ในบทบาทของ "คนไข้" นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คงเป็นเพราะโชคชะตา หรือฟ้าลิขิต ที่ทำให้หนูได้รู้จักกับคนไข้หลายคนที่ผ่านประสบการณ์การเป็น “คนไข้” มานานปี แทบทุกคนต่างเข้าใจดีว่า โรคภัยไข้เจ็บก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ถึงวันนี้บางคนอาจจะแข็งแรง สักวันหนึ่งก็ต้องป่วย และเมื่อถึงวันนั้น ถ้าเรารับมันได้ และอยู่กับมันอย่างมีสติ เราก็จะมีความสุข

และก็ยังเป็นปีแรกที่หนูสอบตก จากทั้งชีวิตที่หนูเคยอยู่ในอันดับต้นๆมาตลอด กลับต้องมาไล่สอบแก้ทีละวิชา ถ้าคิดในแง่ดีก็ถือว่าได้รสชาติชีวิตอีกแบบหนึ่ง ถึงแก้ไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร มาเรียนอีกรอบก็ได้ความรู้มากขึ้น แถมยังได้ดูแลผู้ป่วยไม่ซ้ำเดิมอีกด้วย

การ ได้เป็น "คนไข้" ยังสอนให้หนูรู้จักอดทน ไม่แปลกใจเลยที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า patient เพราะคำนี้สื่อถึงความเป็นคนไข้ได้ชัดเจนมาก ตั้งแต่หนูไม่สบาย นอกจากจะต้องทนกับอาการของโรคที่มีผลต่อชีวิตประจำวันแล้ว หนูยังต้องมีวินัย มีความรับผิดชอบ(ในการทานยา) ตรงต่อเวลา(เพราะต้องนัดเวลาให้ป๊าหรือแม่มารับส่ง) ระมัดระวังมากขึ้น และรู้จักดูแลตัวเองมากขึ้น และมองโลกในแง่ดีกว่าเดิม

ไม่น่าเชื่อว่า โรคลมชักได้ให้อะไรแก่ชีวิตหนูมากมายขนาดนี้

ลมชัก... ฉันรักเธอ

บทสรุป เมื่อเวลาผ่านไป ได้เรียนรู้จักโรคอย่างเข้าใจและยอมรับ แม้จะมีผลกระทบแต่ก็ไม่ถึงกับอับจน หมดหนทาง ทำอะไรไม่ได้ ขอให้มีความอดทนและเรียนรู้จากสิ่งรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นพ่อ-แม่ เพื่อนฝูง ผู้ป่วยและตนเอง จะนำพาความสุขมาให้และผ่านพ้นช่วงเวลาชีวิตที่ทุกข์สุดๆมาได้ ทุกสิ่งที่ผ่านมาในแต่ละช่วงชีวิตของเรานั้น มีทั้งชอบ ไม่ชอบปะปนกันไป แต่เราควรได้เรียนรู้ในทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาว่า เราได้เรียนรู้อะไรบ้างทั้งจากสิ่งที่ชอบ และไม่ชอบ ผมถูกสอนมาว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรานั้น เราได้ประโยชน์ทั้งสิ้น เราควรได้เรียนรู้กับมันให้มากที่สุด อย่าให้เวลาที่สูญเสียไปนั้นเปล่าประโยชน์ รู้จักเรียนรู้ และรู้จักนำมาใช้ในชีวิตของเราให้มากที่สุด