My Epilepsy Diary ลมชัก…..ฉันรักเธอ ตอนที่ 27: การรักษาคนที่เป็นโรค มิใช่รักษาโรคเท่านั้น

และแล้วการสอบแก้วิชาศัลยศาสตร์ก็ผ่านไปโดยที่หนูไม่รู้ว่าจะผ่านหรือไม่ ทั้งๆ ที่หนูรู้สึกว่าทำได้ดีกว่าครั้งก่อน แต่อย่างเพิ่งนึกถึงเรื่องนี้เลยดีกว่า หนูอยากใช้เวลาช่วงก่อนเปิดเทอมพักผ่อนสักเล็กน้อย หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการสอบมาแล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อนสอบ ชีวิตของหนูที่เหมือนอยู่ไปวันๆ ทั้งเครียด ทั้งเบื่อ ทั้งเหงา ไม่อยากอ่านหนังสือ แต่ก็ไม่อยากทำอะไรเลย เวลาทั้งวันหมดไปกับการนั่งๆ นอนๆ โดยไม่เกิดประโยชน์ กลางคืนหนูก็นอนไม่หลับ ป๊าเลยยิ่งเคี่ยวเข็ญให้หนูอ่านหนังสือทุกวัน แต่มันกลับทำให้หนูไม่อยากอ่าน หนูเครียด โดยที่ไม่รู้ว่าที่จริงแล้วหนูเครียดเรื่องอะไรกันแน่ เวลาที่หนูอยู่คนเดียว หนูเอาแต่ร้องไห้ ร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล

การอยู่คนเดียวทำให้หนูยิ่งวนเวียนกับความคิดและความรู้สึกนี้ หนูก็ไม่ทราบว่าทำไมหนูไม่อยากปรึกษาใครเลย ช่วงนั้นแม่ไม่อยู่บ้าน หนูอยู่กับป๊า แต่หนูก็ทำตัวเหมือนปกติทุกวัน โทรไปคุยกับเพื่อนสนิท แทนที่จะระบายความเครียดในใจ หนูกลับคุยเล่นด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นเคย บางครั้งที่หนูมีโอกาสออกไปข้างนอก หนูพยายามยิ้มให้ใครต่อใคร แต่มันกลับไม่เหมือนรอยยิ้มเดิมของหนู และหนูก็ไม่อยากคุยกับแม่ อาจารย์ พี่หน่อย หรือใครก็ตามที่หนูเคยคุยด้วยเวลาที่หนูรู้สึกไม่สบายใจ และแล้วความคิดบางอย่างก็เกิดขึ้นกับหนู

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หนูจำเป็นต้องไปงานเลี้ยงรุ่นของป๊าที่เขาใหญ่ ทั้งๆ ที่ไม่อยากไป หนูก็ไม่ทราบว่าทำไมหนูถึงไม่อยากอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่อยากเจอใคร ระหว่างทาง หนูนั่งเงียบ ได้แต่คิดโน่นคิดนี่ และหนูตั้งใจไม่คาดเข็มขัดนิรภัย

"ถึงจะเกิดอุบัติเหตุ แล้วหนูจะตายไป ก็คงไม่เป็นไร มันคงไม่ได้แตกต่างกับการมีชีวิตอยู่ต่อหรอก"

จนวันหนึ่งหนูรู้สึกว่าหนูไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว หนูอยากออกจากบ้านไปที่ไหนสักแห่ง แต่หนูยังไม่ควรจะขับรถ หนูเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้แม่ บอกแม่ว่าหนูจะขอยืมรถแม่ไปใช้ หนูบอกเหตุผล และความรู้สึกทุกอย่างของหนู หนูไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้น หนูจะมีอาการชักขณะขับรถหรือไม่ ถ้าหนูปลอดภัยก็ถือว่าโชคดี แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้น หนูขอโทษนะคะแม่ หนูไม่กลัว ไม่ว่าสุดท้ายแล้วหนูจะเป็นอย่างไรก็ตาม ตอนนี้หนูทำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่จะขับรถ ถึงหนูจะเป็นอะไรไป มันก็คงไม่ต่างกัน หนูคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีแม่ แต่แม่คงอยู่ได้ใช่ไหมถ้าไม่มีหนู

หยิบกุญแจรถแม่ ออกจากบ้าน ก้าวตรงไปยังรถคันเดิมที่หนูเคยขับไปชนนับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อจะไขกุญแจ หนูก็ต้องชะงัก และถอนกุญแจออก

ส่วนลึกในจิตใจของหนูยังคงมีความกลัวอยู่อีกหรือ

หรืออาจจะเป็นเพราะว่าสติที่ยังพอหลงเหลืออยู่บอกว่าหนูไม่ควรทำอย่างนั้น มันไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าแม่กลับมาแล้วรู้ว่าหนูเป็นแบบนี้ ท่านจะเสียใจขนาดไหน

วันต่อมา หนูไปทำเรื่องขออนุโลมสอบแก้ที่คณะ และหนูได้เจอเพื่อนๆ หลายคนที่ยังสอบไม่ผ่าน บางคนต้องเรียนซ้ำทั้งปี แต่ก็ยังมีกำลังใจ และพร้อมที่จะสู้ใหม่อีกครั้ง หนูยังได้เจออาจารย์ อาจารย์ธงชัย พี่หน่อย พี่ยอ ตอนเย็นแม่ก็กลับมาบ้าน

ถ้าเกิดหนูทำเช่นนั้นจริงๆ แม่ อาจารย์ และพี่ๆ ทุกคนที่คอยช่วยเหลือหนู และรอคอยดูความสำเร็จของหนูมาตลอด ก็คงจะเสียใจถ้าหนูเป็นอะไรไป และเพื่อนๆ ก็คงเสียดายที่หนูคิดสั้นขนาดนี้

แม้เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้น แต่แม่ก็ได้อ่านจดหมายฉบับนั้น ถึงแม่จะเข้มแข็งกว่าหนู แต่พออ่านจบ แม่ก็หันหน้าไปอีกทาง แต่ก็ยังไม่อาจซ่อนตาแดงก่ำเอาไว้ได้ หนูเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟัง ถึงบางเรื่องแม่จะไม่ค่อยเข้าใจ เพราะความรู้สึกนึกคิดของคนเรา บางอย่างมันก็อาจจะอธิบายยาก หนูเองก็ไม่ใช่คนที่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง แต่แม่ก็เป็นคนที่รับฟังหนูเสมอ

และคงน่าเสียดายกว่านี้ หากหนูไม่ได้มีโอกาสอยู่ฟังข่าวดีที่กำลังจะเกิดขึ้น

"เพื่อนๆ เกรดออกแล้วนะ" เพื่อนคนหนึ่งโพสต์ข้อความนี้บน facebook ของรุ่น

หนูเองก็คงไม่หวังอะไรนอกจากหวังว่าจะผ่านไปได้ด้วยดีทุกวิชา แต่ผลปรากฏว่าหนูทำได้ดีกว่าที่คิดไว้เสียด้วยซ้ำ ดีกว่าการสอบทุกๆ ครั้ง ที่ผ่านมา ตั้งแต่หนูเข้ามาเรียนในคณะแพทย์แห่งนี้ (อันนี้ไม่รวมวิชาคณะอื่นนะคะ)

หนูเริ่มมีกำลังใจในการอ่านหนังสืออีกครั้ง แม้ว่าเวลาจะเหลือเพียงไม่กี่วัน หนูพยายามอ่านให้ได้มากที่สุด ป๊ากับแม่ก็ช่วยติวให้ตั้งแต่ค่ำจนดึก หนูย้ายมานอนห้องป๊ากับแม่ เพราะแม่ไม่อยากให้หนูอ่านหนังสือดึกเกินไป และกลัวหนูจะชักแล้วล้มลงไปอีก หนูเลยต้องนั่งบนฟูกแล้วเอาโต๊ะญี่ปุ่นมาวางเพื่ออ่านหนังสือ

หลังสอบเสร็จ หนูไม่ได้รู้สึกสบายใจอย่างที่คิดไว้ หนูคิดว่าไม่ใช่เพราะข้อสอบ และหนูอาจจะยังไม่หายจากอาการที่เกิดจากความเครียดสะสม แต่หนูจะพยายามค่ะ ช่วงนี้หนูก็ออกไปเล่นฟิตเนสกับแม่บ้าง ไปเจอเพื่อนเก่า บางครั้งก็ไปทักทายพี่หน่อยและพี่ยอที่ห้องตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง

หนูได้คุยกับพี่หน่อยเกี่ยวกับคนไข้หลายคน ซึ่งบางคนหนูก็เคยเจอ มานึกดูอีกที คนไข้อีกหลายๆคน เขามีชีวิตที่ลำบากกว่าเรามาก แต่เขาก็ยังเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่อชะตาชีวิต หนูเป็นคนไข้ที่นับว่าโชคดีกว่าคนอื่นๆ หลายเท่า เพราะหนูมีครอบครัวคอยดูแล อยู่ในสังคมที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ และ ได้พบแพทย์เจ้าของไข้เมื่อใดก็ตามที่มีปัญหา

ถ้าหนูสามารถหาคำคำไหนที่ลึกซึ้งและดีกว่าคำว่า “ขอบพระคุณ” หนูคงไปต้องหามาให้อาจารย์ให้ได้ แต่คงไม่มีคำไหนที่สื่อความหมายได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว หนูไม่คิดเลยค่ะว่าการเรียนของหนูจะดีขึ้นเร็วขนาดนี้ อาจารย์ไม่ใช่เพียงหมอที่รักษาหนู แต่ยังเป็นอาจารย์ที่คอยสอน คอยให้คำแนะนำในหลายๆ เรื่อง และรับฟังปัญหาของหนูมาตลอด อาจารย์คะ เมื่อก่อนหนูเคยคิดว่าหนูเป็นคนที่เข้มแข็งมาตลอด และหนูก็ได้รู้ว่าที่จริงแล้วหนูอ่อนแอมาก แต่อาจารย์ก็ยังเชื่อมั่นในตัวหนู ไม่ว่าหนูจะล้มสักกี่ครั้ง อาจารย์ก็เชื่อว่าหนูจะลุกขึ้นมาใหม่ได้เสมอ หนูยังต้องขอบพระคุณอาจารย์ทุกๆ ท่านที่ได้ให้คำแนะนำในการเรียน แม้ว่าหนูจะตกใจในตอนแรกที่อาจารย์คิดว่าหนูควรจะลาพักการเรียน แต่ตอนนี้หนูเข้าใจแล้วค่ะว่าอาจารย์ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับหนู และพี่ๆ ทุกคนที่คอยให้กำลังใจหนูมาตลอด

ตอนนี้หนูรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว ปิดเทอมนี้ หนูเลยตั้งใจว่าจะเขียนบทความสักเรื่องให้คนไข้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตหนูโดยตรง และมักจะได้ยินว่าคนไข้หลายๆ คนก็มีปัญหาแบบเดียวกัน ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรนั้น คอยติดตามละกันนะคะ

บทสรุป ช่วงที่มีจิตตกมากๆ ความคิดอยากตายเพื่อพ้นความทุกข์จึงเกิดขึ้นได้ สิ่งที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ทำคือ ความรักและความผูกพันกับพ่อ-แม่และความหวังในอนาคต คนรอบข้างเข้าใจและให้กำลังใจ จะเป็นสายใยรักที่ถักทอให้คนนั้นรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยและอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป การรักษาผู้ป่วยลมชักและโรคอื่นๆนั้น แพทย์มิใช่ทำหน้าที่เพียงรักษาโรคที่ผู้ป่วยเป็นเท่านั้น การรักษาที่ได้ผลดี แพทย์ต้องรักษาคนที่เป็นโรคมิใช่เพียงแค่รักษาโรคในคนนั้นเท่านั้น การรักษาคนต้องเข้าใจปัญหา เข้าใจความคิด และมีความเห็นใจ ให้กำลังใจ