My Epilepsy Diary ลมชัก…..ฉันรักเธอ ตอนที่ 25: ทางเลือกของชีวิต

"เย้! จบปี 4 แล้ว"

เพื่อนๆ ต่างร้องอย่างดีใจหลังจากที่สอบวิชานิติเวชศาสตร์ (Forensic) ซึ่งเป็นวิชาสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย

แต่ประโยคนี้คงไม่ได้หลุดจากปากหนูแน่นอน หนูได้แต่นั่งถอนหายใจ พลางคิดว่าถ้าได้ขึ้นปี 5 พร้อมเพื่อนก็คงจะดีไม่น้อย

หลังจากสอบลงกอง ortho/แผนกศัลยกรรมกระดูกและข้อ (ซึ่งเป็นอีกบล็อกที่ทำให้หนูมีอาการชักบ่อยขึ้น แต่ก็ยังน้อยกว่าบล็อกก่อนๆ และหนูคิดว่าน่าจะผ่าน ต้องขอบคุณป๊าเป็นอย่างสูงที่ติวให้หนูแบบตัวต่อตัวทุกวัน) หนูและเพื่อนๆ ก็มาถึงกองสุดท้ายของปีการศึกษานี้ Forensic/นิติเวชวิทยา วิชาที่มีเวลาเรียนเพียงหนึ่งสัปดาห์แต่เนื้อหาอัดแน่นพอสมควร

Forensic ถือว่าเป็นวิชาที่นั่งเรียนเลกเชอร์ (lecture) แล้วสนุกที่สุดเลยก็ว่าได้ แม้แต่เพื่อนที่เป็นจอมหลับในห้องเรียนยังนั่งฟังตาสว่าง เพราะให้ความรู้สึกเหมือนอ่านนิยายสืบสวน การ์ตูนโคนัน หรือนั่งดูหนังนักสืบ ทำให้ความอยากรู้เกิดขึ้นตลอดเวลา คนนี้ตายจากอะไร หรือว่าถูกฆ่า แล้วฆาตกรคือใคร เมื่ออยากรู้คำตอบก็ต้องพยายามหาคำอธิบาย ปมปริศนาหลายคดีก็คลี่คลายได้จากหลักการทางนิติเวชนั่นเอง

บางทีความอยากรู้ที่มากเกินไปมันก็ไม่ดีเหมือนกัน หนูเป็นคนหนึ่งที่มีข้อเสียตรงที่อยากรู้อะไรก็ต้องรู้ให้ได้ ต้องรู้เดี๋ยวนั้น บางทีก็ทำให้หนูเครียดกับสิ่งที่หนูยังไม่รู้มากเกินไป โดยเฉพาะเวลาทำข้อสอบ ตอนเด็กๆ ทำข้อสอบเลขที่ต้องแสดงวิธีทำทีไร ถ้าทำไปแล้วแต่ยังไม่เสร็จ ก็ต้องทำจนกว่าจะได้คำตอบ ทั้งๆที่ถ้าเอาเวลาส่วนนี้ไปทำข้ออื่นที่ง่ายกว่า อาจจะได้คะแนนมากกว่า หนูพยายามจะเปลี่ยนนิสัยนี้หลายครั้งแต่หนูก็ทำไม่ได้เสียที

ตอนนี้หนูรู้ตัวเองแล้วว่าหนูไม่สามารถทำแบบเดิมได้ เพราะช่วงสอบหนูมักจะได้พักผ่อนน้อยอยู่แล้ว ยิ่งเครียดกับข้อที่หนูยังทำไม่ได้ หนูอาจจะชักระหว่างทำข้อสอบบ่อยขึ้น ยิ่งทำให้มีเวลาทำข้อสอบน้อยลง แล้วจะงมอยู่กับข้อนั้นเพื่ออะไร แค่ข้ามไป ไม่กลับไปคิดถึงมันอีก และทำข้ออื่นที่เหลือไม่ดีกว่าหรือ

และแล้วคงต้องยกย่องให้ "โรคลมชัก" เป็นฮีโร่ที่สามารถทำให้หนูแก้ไขนิสัยเดิมได้ หนูจำเป็นต้องจัดสรรเวลาในการทำข้อสอบแต่ละส่วนให้ดี และต้องกลับมาทบทวนใหม่ก่อนส่ง เพราะหนูไม่รู้ว่าระหว่างสอบหนูชักไปกี่ครั้ง เท่าที่พอทราบคือตอนนี้หนูทำข้อสอบได้มากขึ้นกว่าเดิมมาก

และสิ่งที่ดีที่สุดคือ อาการชักของหนูควบคุมได้ดีขึ้นมาก แต่หนูก็ยังกิน “ยาเสียสาว” ก่อนวันสอบ(ในวิชา forensic เรื่องยาเสพติด ยากลุ่มเบ็นโซไดอะซีปีน (BZP) มีชื่อเล่นว่า ยาเปลื้องผ้า ยาเสียสาว) พอเล่าให้เพื่อนสนิทฟัง เขาก็บอกว่า “เธออย่าเปลื้องผ้ากลางห้องสอบก็พอ”

ถ้าไม่มีปัญหา หนูคิดว่า forensic คงเป็นอีกวิชาหนึ่งของปีสี่ที่หนูไม่ต้องมาเรียนซ้ำอีกรอบ

หลังสอบ เพื่อนๆ เริ่มคุยกันว่าปิดเทอมนี้จะไปเที่ยวไหนกันดี ส่วนใหญ่เพื่อนๆ รวมกลุ่มกันไปเที่ยวด้วยกัน บางกลุ่มก็ไปเที่ยวต่างประเทศ บางกลุ่มวางแผนจะขึ้นเขาลงห้วยในเมืองไทย บางคนไปเลือกวิชาเลือก (elective) ที่อื่น

มีแต่หนูคนเดียวที่ยังไม่มีการวางแผนสำหรับปิดเทอมนี้ หนูอยากไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แต่ป๊ากับแม่คงไม่ให้ไป และหนูเองก็กลัว ขนาดเดินราวด์วอร์ดด้วยกัน เหม่อไปแป๊บเดียวยังหากันไม่เจอ คงไม่ดีเท่าไรนักหากหนูหลงกับเพื่อนๆ อยู่กลางป่าเขา ยิ่งถ้าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ทั้งเพื่อนและหนูคงไม่สนุกแน่ๆ

และที่สำคัญ หนูยังมีอีกเรื่องที่หนูยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เสียที

ฤดูกาลสอบแก้ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งเพื่อนๆ ส่วนหนึ่งคงตกอยู่ในสภาพเดียวกันคือต้องอ่านหนังสือสอบ แต่ละคนก็ตั้งใจว่าต้องสอบรอบนี้ให้ผ่าน บางคนเริ่มวางแผนอ่านหนังสือแล้ว คงมีเพียงหนูที่ยังคงมีคำถามในใจ

หนูอยากสอบแก้ศัลย์ให้ผ่าน ทั้งๆที่ช่วงแรกที่เรียนหนูแทบไม่รู้เรื่องเลย เพราะนอกจากจะยังปรับตัวไม่ทันแล้วหนูยังเหม่อลอยนับครั้งไม่ถ้วน พอช่วงหลัง หนูได้ทราบว่าตัวเองเป็นลมชัก ก็ยิ่งเครียด คิดไปต่างๆ นาๆ พอเริ่มทานยา หนูก็ง่วงมาก ทานยาบ้าง ไม่ทานยาบ้าง เลยควบคุมอาการชักได้ไม่ดี การเรียนก็ยิ่งแย่ลง เป็นช่วงเวลาสามเดือนที่หนูได้เรียนรู้วิชาศัลย์น้อยมาก แต่ก็ได้ประสบการณ์จากจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของชีวิตอยู่เหมือนกัน

ปัญหาหลักของหนูตอนนี้คือหนูจับหลักไม่ได้ตั้งแต่ต้น หนูเลยไม่รู้ว่าสิ่งที่หนูรู้มีอยู่มากแค่ไหน และหนูควรจะต้องอ่านอะไรเพิ่มเติม ต้องเน้นอะไรบ้าง หนูรู้ตัวดีว่ารอบนี้หนูยังไม่พร้อม มันไม่เหมือนเมื่อตอนที่ตัดสินใจลาพักการเรียนเพื่อสอบ NL ให้ผ่าน ตอนนั้นหนูตัดสินใจเร็วมากจนทุกคนงง เพราะหนูรู้สึกเหมือนมองเห็นแสงสว่างอยู่ที่ปลายทาง เพียงแค่มีเวลาเพิ่มอีกนิด โอกาสผ่านในรอบนี้ก็สูงทีเดียว เท่าที่มีอยู่ตอนนั้นทั้งความรู้เก่าและใหม่ที่จะต้องใช้ทำข้อสอบก็ปริ่มๆ เกณฑ์ผ่านอยู่แล้ว แต่การสอบครั้งนี้ เหมือนทางข้างหน้ายังมืดมน หนูยังมองไม่เห็นโอกาสนั้นเลย ตอนนี้จึงมีอยู่สามทางเลือกที่หนูจำเป็นต้องตัดสินใจเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

อย่างแรก หนูจะขออนุโลมสอบแก้ในช่วงปิดเทอมนี้ แล้วลุยอ่านหนังสือเต็มที่ภายในเวลาสองสัปดาห์กว่าให้ทัน ถึงจะหนัก จะเครียดเท่าไรก็ตาม หนูจะได้ผ่านวิชานี้เสียที แต่อาจารย์คะ หนูบอกตามตรงว่าหนูกลัว เพราะหนูรู้ว่าถ้าตั้งใจแล้ว หนูจะกดดันตัวเองมากเกินไป หนูกลัวจะชักรุนแรงอย่างคราวที่แล้วอีก

อย่างที่สอง ถ้าหนูรู้ว่าอ่านอย่างไรก็ไม่ทัน หนูคงไม่สอบรอบนี้ ใช้เวลาช่วงปิดเทอมไปกับการประสบการณ์ใหม่ๆ ขึ้นสูติและอายุรกรรมให้เสร็จก่อน แล้วสอบแก้ศัลย์พร้อมกับรุ่นน้องบล็อกที่สาม อย่างน้อยหนูก็มีเวลาอ่านหนังสือเพิ่มอีกสามเดือน เพื่อให้หนูแน่ใจว่าแสงสว่างอันริบหรี่จะลุกโชนขึ้นมาเป็นดวงประทีปได้อย่างแน่นอน แต่ทำแบบนี้หนูจะเสียเวลามากไปไหม

อย่างที่สาม พูดง่ายๆ คือลองเสี่ยงดู หนูจะพยายามอ่านหนังสือให้ได้มากที่สุด แต่ไม่หักโหม ไม่เครียดจนเกินไป ได้เท่าไหนก็เท่านั้น แล้วก็สอบรอบนี้เลย ถ้าหนูผ่านก็คงเป็นเพราะโชคช่วยส่วนหนึ่ง แต่ถ้าไม่ผ่าน นั่นหมายความว่าหนูต้องขึ้นเรียนบล็อกศัลย์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งก็ใช้เวลาเท่ากับทางเลือกที่สองที่หนูได้กล่าวไป

อาจารย์คะ หนูอยากรู้ หนูคิดไม่ออกจริงๆ ว่าหนูควรจะเลือกทางไหนดีคะ

บทสรุป บางครั้งชีวิตคนเราต้องเลือกทางเดินว่าควรจะเดินไปทางไหนดี โดยที่ไม่มีข้อมูลให้เราตัดสินมากนัก หรือไม่ก็จำใจที่จะต้องเลือกทางเดินนั้นๆ ทั้งที่ไม่มีความพร้อมใดๆ เลย อย่างไรก็ตามเมื่อถึงจุดนั้นหรืออยู่ในสาณการณ์ที่ไม่มีทางเลือกใด คนเราก็ต้องพยายามทำให้ดีที่สุดในสิ่งที่เราถูกบังคับให้ต้องเดินหรือเลือกที่จะเดิน ผมเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพ เพียงแต่เราอาจยังไม่สามารดึงศักยภาพที่เรามีนั้นออกมาได้ทั้งหมด สติและความมั่นใจจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราผ่านช่วงวิกฤตนั้นได้