My Epilepsy Diary ลมชัก…..ฉันรักเธอ ตอนที่ 24: คิดไปเอง

หลังจากที่ปฏิทินโรคลมชักได้เผยโฉมออกมา และแจกจ่ายไปสู่ประชาชน ก็ได้รับกระแสตอบรับมากมาย(รู้สึกเหมือนดาราอย่างไรก็ไม่รู้) หลายคนชอบมากๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น แต่บางคนก็ไม่ชอบ เราก็ต้องเข้าใจ นานาจิตตัง โลกนี้ไม่มีอะไรที่ทุกคนชอบได้เหมือนกันทุกคน

มีหลายคนถามว่า ทำไมหนูถึงกล้าใส่ชื่อตัวเองเข้าไป การทำแบบนี้ไม่ใช่การตัดโอกาส ตัดอนาคตตัวเองหรอกหรือ ทั้งๆที่ถ้าหนูคิดว่าจะเผยแพร่ความรู้ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ชื่อ หรือรูปตัวเองไปก็ได้

ถ้าตอบได้ คงตอบไปแล้วว่า "เพื่อให้จำนวนคนที่มีความคิดแบบคุณลดลง" แต่เอาเข้าจริงหนูก็ต้องใช้เวลาอธิบายยาวหน่อย เพื่อให้เข้าใจความคิดของหนู ก็เพราะคนทั่วไปคิดแบบนี้ คิดว่าถ้าหนูเป็นลมชัก หนูจะไม่สามารถทำงานได้อย่างคนทั่วไป เพราะฉะนั้นเวลาหนูไปสมัครเข้าเรียนต่อ หรือทำงาน เขาจะไม่รับหนู

การที่หนูปิดบัง ก็เหมือนหนูสร้างกรอบให้ตัวเอง จนกลายเป็นกำแพงในใจที่ปิดกั้นตัวเองจากสังคม ทำให้หนูรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนที่ผ่านมา แม้ว่าการทำแบบนี้อาจจะดีตรงที่ไม่จำกัดเส้นทางชีวิตของหนู แต่ผลประโยชน์ก็เกิดกับหนูเพียงคนเดียว (ดีไม่ดีอาจเป็นผลร้ายเสียด้วยซ้ำ ถ้าหนูใช้ชีวิตไร้ขีดจำกัดขนาดนั้น)

หนูตั้งใจจะทลายกำแพงนี้ด้วยการทำปฏิทินนี้ขึ้นมา ถึงแม้ว่ามันอาจจะทำให้หนูไปไม่ถึงเป้าหมายสูงสุดที่เคยวาดฝันเอาไว้ แต่หนูคิดว่า มันจะช่วยให้คนไข้ลมชักอีกหลายคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะการไม่ได้รับการยอมรับ และความรู้สึกด้อยกว่าผู้อื่นเป็นปัญหาใหญ่ของคนไข้ลมชัก แม้ว่าบางคนจะควบคุมอาการได้แล้วก็ตาม แต่คนส่วนใหญ่ยังมองว่าเขาไม่ปกติ หนูหวังว่าคนทั่วไปเข้าใจ ว่าคนเป็นโรคลมชักก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ โดยใช้ตัวหนูเองเป็นสื่อกลาง เพราะดูเป็นรูปธรรมมากกว่าการเขียนบรรยายขึ้นมาเฉยๆ และทุกอย่างมาจากประสบการณ์ของหนูเอง และการที่หนูกล้าเปิดเผย คนไข้จะได้รู้สึกว่าเขาก็สามารถเป็นที่ยอมรับของสังคมได้

โดยภาพรวมแล้ว คนส่วนใหญ่เมื่อได้ทราบเหตุผลแล้วก็เข้าใจ และประทับใจกับผลงานปฏิทินตั้งโต๊ะอันแรกของหนูมากกว่าที่หนูคิดไว้ โดยเฉพาะญาติผู้ใหญ่ที่ยังห่วงอนาคตของลูกหลานอยู่ แม่ของหนูก็ภูมิใจในตัวหนูมาก อาจารย์หลายท่านถึงกับบอกว่ายินดีที่จะรับหมอแบบนี้เข้ามาทำงานสักคน

มีอยู่เพียงคนเดียวที่ยังไม่ยอมรับในสิ่งหนูทำ และอาจารย์ก็คงจะรู้ว่าคือใคร

ป๊าหนูไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นปฏิทินอันนี้ ถึงกับไม่แตะต้อง ไม่ยอมอ่านสักหน้า ซึ่งหนูก็เคยคิดไว้แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ เหตุผลก็เหมือนที่หนูได้กล่าวไปแล้ว ป๊าไม่เข้าใจว่าทำไมหนูจะต้องประกาศให้โลกรู้ด้วยว่าหนูเป็นลมชัก

ตั้งแต่รู้ว่าหนูเป็นลมชักมา นี่ก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว ป๊ายังไม่ยอมรับในตัวหนูอีกหรือ แม่บอกว่า ป๊าก็คงห่วงหนู กลัวจะเป็นปัญหาต่อไป แต่นั่นก็แค่ความคิดป๊า อาจารย์หมอสมัยนี้ส่วนใหญ่ก็เลิกคิดแบบนี้กันแล้ว แต่หนูก็เสียความรู้สึกเหมือนกัน

หลังสอบ commed เสร็จ หนูและครอบครัวต้องรีบเดินทางไปฉลองปีใหม่กับญาติๆ ทันที เพราะรถจะติดมาก หนูเตรียมของเสร็จตั้งแต่วันก่อนไป และหนูได้ฝากให้แม่เอาปฏิทินใส่รถไปแจกญาติๆด้วย แต่แม่ไม่อยากให้แจก กลัวป๊าไม่พอใจ สุดท้ายแล้ว ขณะออกเดินทาง หนูถามแม่ว่าได้เอาปฏิทินไปหรือไม่

แต่หนูก็แปลกใจ เมื่อแม่บอกว่า “แม่ไม่ได้หยิบขึ้นรถนะ แต่เห็นป๊าเอาใส่ท้ายรถไปแล้ว” แต่ป๊าก็ไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับปฏิทินอันนี้เลย

และอีกเรื่อง เมื่อวานตอนเย็นหนูไปที่คลินิกป๊า เนื่องจากตอนนี้เรียน ortho อยู่ เลยไปค้นเฝือกเก่าๆ ผ้าพันแขน ขา เฝือก (elastic bandage) และอุปกรณ์ต่างๆ มาเล่น เอามาพันแขนตัวเอง พันไปพันมาเริ่มดูมั่วๆ พอคนไข้ของป๊าหมด หนูเลยเข้าไปในห้องตรวจ ตั้งใจจะถามป๊าว่าพันแบบนี้ใช้ได้ไหม

แต่สิ่งที่สะดุดตาหนูตั้งแต่ก้าวแรกที่ผลักประตูเข้าไป คือปฏิทินสีเขียวที่ดูคุ้นตา ตั้งเด่นอยู่บนคอมพิวเตอร์ที่ป๊าใช้บันทึกข้อมูลคนไข้ หนูถึงกับพูดไม่ออกเลย ปีใหม่ทุกปี ป๊าได้ปฏิทินที่บริษัทยาแจกมากมาย หลายอันก็ดูสวยกว่าที่หนูทำเสียด้วยซ้ำ แต่ทำไมป๊าถึงเลือกปฏิทินอันเดียวที่เป็นฝีมือหนูมาตั้งไว้ในห้องตรวจ ที่ซึ่งคนไข้ที่เข้ามาตรวจจะต้องเห็น

หนูได้แต่ถอยกลับออกจากห้องตรวจ ซ่อนทั้งรอยยิ้มและน้ำตาของตัวเองเอาไว้ ก่อนที่ป๊าจะปิดไฟ แล้วเดินตามออกมาบอกว่า “arm sling ยาวไป ต้องยกขึ้นมาให้สูงกว่านี้ แล้วอย่าลืมยึดให้แน่น (fix) ตรงข้อศอก (elbow) ด้วย กลับกันได้แล้ว เอาเฝือกไปผสมน้ำเล่นที่บ้านต่อก็เอาไปนะ”

บทสรุป ความกล้าหาญของผู้ป่วยโรคลมชักในการเปิดเผยตนเองสู่สาธารณชน เป็นจุดเปลี่ยนทัศนคติของสังคม โรคลมชักเป็นเพียงสมองทำงานผิดปกติชั่วคราว ไม่มีสิ่งใดน่าละอายหรือน่ารังเกียจ สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ ดังนั้นคนทั่วไป สังคมต้องเข้าใจประเด็นนี้ ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ยังมึวามคิดว่าผู้ป่วยโรคลมชักเป็นผู้พิการทางสมอง ไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้เหมือนคนทั่วไป ไม่สามารถทำงานได้ ไม่สามารถเรียนหนังสือได้ จึงส่งผลให้ผู้ป่วยลมชักสูญเสียโอกาสต่างๆในสังคม และมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี