My Epilepsy Diary ลมชัก…..ฉันรักเธอ ตอนที่ 17: สุขภาพดีสำคัญที่สุด

เมื่อหนูกลับสู่สนามรบอีกครั้ง การที่กองทัพจะรบให้ชนะได้นั้น ต้องมีการเตรียมพร้อม การวางแผนให้ดี นอกจากนี้ยังต้องมีพละกำลังมากพอที่จะต่อสู้กับข้าศึกได้ และแน่นอนว่าผู้ที่แข็งแกร่งกว่าย่อมชนะเสมอ ข้าศึกที่ว่านี้คงไม่ใช่สิ่งอื่นใด ถ้าไม่ใช่ร่างกายของหนูเอง

การเรียนอายุรกรรมที่ทั้งหนักและเหนื่อย หลังจากที่ได้พักมาระยะหนึ่ง หนูก็ต้องใช้เวลาปรับตัวพอสมควร แต่ในเมื่อใจของหนูเตรียมพร้อม และหนูได้วางแผนการเรียนเอาไว้แล้ว หนูก็คาดหวังว่าหนูจะต้องทำมันให้ได้ จิตใจเข้มแข็งที่เข้มแข็งเมื่อต้องต่อสู้กับร่างกายที่อ่อนแอ จิตใจก็ย่อมเป็นผู้ชนะ หนูบังคับตัวเองให้ทำงาน ตื่นแต่เช้า มาราวด์วอร์ด ตั้งใจเรียน อ่านหนังสือ เขียนรายงาน ทั้งหมดนี้หนูต้องทำให้ได้อย่างที่หนูวางแผน ถ้าเรียนไม่ทันก็ต้องกลับมาอ่านทบทวน ถ้าทิ้งไว้พอใกล้สอบก็คงไม่ทันแน่ๆ หนูอ่านหนังสือจนดึกดื่นทุกวัน ถึงขนาดตั้งกฎไว้ว่า “ถ้ายังอ่านไม่จบ ห้ามนอน”

ร่างกายที่ถูกทำร้ายด้วยจิตใจของตัวเองก็ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ หนูเป็นภูมิแพ้บ่อยขึ้น ยังต้องล้างจมูก พ่นยาทุกวัน และอาการชักก็มากขึ้น ทั้งๆที่หนูก็ทานยาไม่เคยขาด สิ่งที่แย่ที่สุดคือ หนูรู้สึกว่าหนูเรียนรู้ได้ช้ากว่าแต่ก่อนมาก อ่านหนังสือก็ต้องใช้เวลามากขึ้นจึงจะจำได้ เวลาอาจารย์ถามแล้วเพื่อนๆตอบได้กันหมด แต่หนูตอบไม่ได้เลย ทั้งๆที่เรียนมาด้วยกัน อ่านมาพร้อมกัน ความรู้สึกของหนูเริ่มแย่ลง วันๆ หนูเดินมาที่วอร์ดอย่างไม่มีความสุขเลย แต่หนูก็พยายามบอกตัวเองให้อดทน สู้ต่อไป แล้วมันจะผ่านไปได้อย่างสวยงาม

สถานการณ์ตอนนี้ทำให้หนูยิ่งกดดันตัวเองมากขึ้น หนูเครียดจนนอนไม่หลับ อ่านหนังสือเอาเป็นเอาตาย ยิ่งไปกว่านั้น วันหนึ่งหนูยอมเสี่ยงไม่กินยา เพื่อให้เขียนรายงานเสร็จทัน

น่าแปลกที่วันนั้นหนูรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ทำไมอยู่ๆหนูถึงมีความสุขขึ้นมาเฉยๆ ความสุขที่เหมือนถูกกดเอาไว้มาช่วงระยะหนึ่ง มันเกิดขึ้นในใจหนูอีกครั้ง วันนั้นหนูรู้สึกว่าสมองแล่นมาก เขียนรายงานได้อย่างรวดเร็ว คิดวิเคราะห์ได้ไวเหมือนแต่ก่อน เวลารุ่นพี่สอน หนูก็ฟังทัน คิดตามทัน แม้ว่าจะพอจับได้ว่ามีบางช่วงที่ขาดหายไป หรือเปลี่ยนไปเป็นอีกเรื่องทันที หนูก็ไม่ได้สนใจ หนูรู้แล้วว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ คราวที่แล้วหนูไม่กินยา หนูก็เคยเกือบถูกรถชนเพราะไปเหม่ออยู่กลางถนน แต่หนูก็อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ทำไมจะต้องไปคิดมาก ในเมื่อวันนี้หนูมีความสุขดี

พอมาคิดทีหลัง หนูก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นหนูกล้าทำอย่างนี้ได้อย่างไร คงเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ และด้วยความสะใจ เพราะหนูเครียดมากเกินไปจนขาดสติ นี่มันเป็นความสุขจอมปลอมสิ้นดี ความสุขที่เกิดจากกิเลสของตัวเอง อยากเรียนให้ได้ไวๆ อยากเขียนรายงานเสร็จทัน จากที่เคยคิดว่าใจเราเข้มแข็ง ที่จริงมันอ่อนแอมากกว่า หนูปล่อยให้ความสุขครอบงำจิตใจโดยไม่คำนึงถึงสภาพร่างกายของตนเองเอาเสียเลย

ในเมื่อจิตใจกับร่างกายอย่างไรก็ต้องอยู่ด้วยกัน แต่ยังรบราฆ่าฟันกันทุกวันเช่นนี้ หากจะเปรียบว่าเป็นการสู้กันระหว่างคนสองกลุ่มคงไม่ถูก คงเหมือนคนในกลุ่มเดียวกันฆ่ากันเองมากกว่า แล้วสุดท้ายก็จะไม่เหลืออะไรเลย

ถ้าเป็นอย่างนี้ งั้นหันหน้ามาคุยกันดีกว่า สมานฉันท์กันเสียดีกว่าไหม

แต่ทำอย่างไร จึงจะทำให้จิตใจที่เข้มแข็ง อยู่ร่วมกับร่างกายที่แข็งแรงได้อย่างมีความสุข โดยที่หนูสามารถเรียนตามทันเพื่อนๆได้ ทำงานเสร็จทันเวลา และต้องสอบให้ผ่าน มันยากเหลือเกินเมื่อหนูต้องรับภาระทุกอย่างเอาไว้

วันหนึ่งหนูโทรไปคุยกับอาจารย์สุดา อาจารย์ได้พูดคำคำหนึ่งที่หนูได้ยินแล้วถึงกับน้ำตาไหลออกมาทันที เป็นคำหนูเคยพูดจากปากตัวเองเมื่อสองสัปดาห์ก่อน

“ ตอนนั้นน้องเคยบอกพี่ว่า น้องจะลองขึ้นอายุรกรรมดูก่อน เรื่องผ่านหรือไม่ผ่านก็เป็นอีกเรื่อง แต่น้องจะไม่ซีเรียสอะไร จะดูแลตัวเองให้ดีก่อน ตอนนั้นพี่ก็มองแล้วว่าน้องยังไม่พร้อม แต่อยากลองเรียนดูพี่ก็ไม่ว่า แต่พอน้องได้เรียนแล้วน้องก็จะเอาให้ผ่าน ถ้าน้องได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวาแบบนี้ น้องจะไม่มีวันพอใจในตัวเองหรอก”

หนูพยายามปรับตัวเอง ทุกครั้งที่อาจารย์ถามแล้วหนูยังตอบไม่ทัน หนูจะบอกตัวเองเสมอว่าไม่เป็นไร ถึงไม่ได้ตอบ แต่อย่างน้อยเราก็ได้รู้อะไรมากกว่าเมื่อวานนี้ ค่อยๆเรียนรู้ไป แบ่งเวลาอ่านหนังสือและพักผ่อนให้ได้มากที่สุด(เท่าที่จะทำได้) เพื่อนๆก็พยายามช่วยเหลือ ตรงไหนที่หนูยังตามไม่ทันก็ช่วยติว ช่วยสอนให้อีกรอบ

ถึงจะเครียดน้อยลงแต่หนูยังคงมีอาการชักอยู่บ่อยๆ เพราะงานทั้งหนักและเหนื่อย เวลาพักผ่อนก็น้อย หลายครั้งที่เพื่อนๆทักหนูว่าอยู่ดีๆหนูก็นิ่งไป แต่หนูก็เริ่มชินกับมันแล้ว หนูโชคดีแค่ไหนแล้วที่มีเพื่อนที่เข้าใจ เวลาที่หนูกับกลุ่มเพื่อนเดินคุยกันอย่างสนุกสนาน แล้วอยู่ดีๆหนูก็หยุดเดิน เพื่อนก็ไม่ทันสังเกต แต่ทันทีที่หนูรู้สึกตัว หนูสามารถวิ่งตามไปหัวเราะกับเพื่อนๆต่อโดยไม่รู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากเพื่อนๆเลย

หนูขอโทษนะคะ ที่หนูไม่ได้รักษาสัญญาที่เคยให้ไว้กับอาจารย์ก่อนหน้านี้ แล้วอาจารย์ก็ได้สอนหนูว่า“เราต้องจัดลำดับความสำคัญ ว่าอะไรควรมาอันดับหนึ่ง อันดับสอง” ตอนนี้หนูรู้แล้วค่ะ ว่าสุขภาพของหนูควรเป็นอันดับแรก และหนูควรจะเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะเลือกสิ่งที่สำคัญรองลงมา นั่นคือเรื่องเรียนค่ะ

และอีกหนึ่งข้อคิดที่อาจารย์สุดาได้ให้ไว้ ยังคงก้องอยู่ในความคิดมาจนถึงทุกวันนี้

“ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีกว่าเดิมเท่าไหร่แล้ว ทำไมจะต้องเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่น ในเมื่อเราพยายามมากที่สุดได้เท่านี้ ถึงน้องจะทำได้ไม่ดีเท่าเพื่อนๆ แต่อย่างน้อยวันนี้ก็ยังทำได้ดีกว่าเมื่อวาน และพรุ่งนี้น้องจะทำได้ดีกว่าวันนี้”

บทสรุป ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว เมื่อจิตใจไม่สงบ เครียด ร่างกายก็ทรุดโทรม โรคกำเริบซ้ำ ดังนั้น ควรดูแลใจและกายให้มีความสงบสุข พอใจสิ่งที่มีและเป็น พร้อมดูแลสุขภาพกายทั้ง 5 อ ได้แก่ อาหาร ออกกำลังกาย อากาศ ควบคุมอาการชักด้วยยาและอนามัยส่วนตัว