ลมชัก…..ฉันรักเธอ ตอนที่ 14: หนูทำได้

เมื่อวานนี้ หนูได้ไปร่วมกิจกรรมกลุ่มที่คลินิกโรคมชักเป็นครั้งที่สอง หนูยังได้รับความประทับใจกลับมาเช่นเคย และหนูยังได้มอบความรู้สึกที่ดีแก่คนไข้ ผ่านเสียงเพลง ฤดูที่แตกต่าง และ Live & Learn

แต่วันนี้หนูเริ่มต้นวันใหม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีนัก หลังจากตื่นไม่นาน หนูมีอาการชักหนึ่งครั้ง ทั้งๆที่เมื่อคืนหนูก็นอนเพียงพอ และตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องให้เครียดแล้ว

ความรู้สึกเบื่อเซ็งยังไม่จบลง เมื่อต้องมาคิดว่า “วันนี้ ฉันจะทำอะไรดี” ทั้งที่จริงๆแล้ว หนูยังอยากไปเรียนกับเพื่อน แต่ทุกครั้งที่หนูไปราวด์ หรือเข้าประชุมกลุ่ม (conference) คำถามที่เพื่อนถาม ทำให้หนูรู้สึกเบื่อยิ่งกว่าเดิม

“ออย เธอดรอป ไปแล้วนี่ มาทำไม กลับไปพักผ่อนเถอะ”

“นี่เธอยังมาเรียนอยู่อีกหรือ ทำอย่างนี้แล้วเธอจะหายไหม ถ้ายังอยากมา ทำไมเธอถึงดรอป(ลาพักการเรียน)ล่ะ”

“ทำไมไม่หาอะไรสนุกๆทำ ไม่ก็ไปเที่ยวซะเลย อยู่แบบนี้เครียดเปล่าๆ”

หนูอยากบอกพวกเพื่อนจริงๆ ว่า “ช่วยทำเหมือนฉันเป็นคนปกติได้ไหม” หรือไม่ก็ “จะให้ฉันไปเที่ยวได้อย่างไร พ่อแม่ก็ทำงาน เพื่อนก็เรียน อยู่บ้านก็อยู่คนเดียว ขับรถก็ไม่ได้ ขนาดนั่งรถเมล์ยังเคยเลยป้าย แล้วจะให้ทำไงล่ะ”

ตอนนี้หนูไม่ได้เครียดกับการมาเรียน มาดูคนไข้ การได้คุยกับคนไข้ทำให้หนูมีความสุขมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะคำพูดของเพื่อนต่างหากที่ทำให้หนูรู้สึกแย่ลง

วันนี้หนูเลยตัดสินใจไม่ไปเรียน ตอนนี้หนูอยู่ที่บ้านคนเดียว รู้สึกเหงา เบื่อมากๆ

มองไปบนชั้นหนังสือ กะว่าจะหยิบหนังสือมาอ่านสักเล่ม หนังสือเรียงรายหลายร้อยเล่มที่หนูมองผ่านไป ยังไม่มีเล่มใดที่หนูอยากหยิบลงมาอ่าน แต่มีเพียงสิ่งเดียว ที่ดึงดูดให้หนูหยิบมันออกมา คือแฟ้มปกแข็งสีเขียวเล่มหนึ่ง

แฟ้มสะสมผลงานเล่มหนาหนักอึ้งของน้องชายของหนู ภายในอัดแน่นไปด้วยเกียรติบัตร ผลงาน และ รูปถ่ายต่างๆ หนูเปิดไปทีละหน้า รูปถ่ายคู่หลายรูปของเด็กสาวและเด็กหนุ่มในชุดนักเรียน ต่างคนต่างถือเกียรติบัตรของตนเอง แต่ละรูปผ่านตาของหนูไปเรื่อยๆ ชวนให้ย้อนคิดถึงความประทับใจที่เคยผ่านมาในชีวิต

หนูกับน้องชายเคยได้ชื่อว่าเป็น คู่พี่น้องที่เคยทำชื่อเสียงให้โรงเรียนไว้มากที่สุดก็ว่าได้ เราอายุห่างกันเพียงปีกว่า แต่เมื่อเราคุยกันเรื่องวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ หรือภาษาอังกฤษ เราก็แทบจะเหมือนเพื่อนที่เรียนอยู่ชั้นเดียวกัน ไม่มีอะไรที่หนูกับน้องคุยกันแล้วไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือเรื่องอื่นๆ และเราไม่เคยคิดจะแข่งกันเรียนแข่งกันเลย ช่วงเวลาที่หนูกับน้องเรียนอยู่ชั้น ม.ปลาย เราก็มักจะได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันทางวิชาการ เราจึงได้ไปแข่งตามโรงเรียนอื่นๆด้วยกัน ทั้งระดับภาค ระดับประเทศ

พอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว หนูเลือกเรียนแพทย์ น้องชายหนูเรียนวิศวะ หลังจากนั้น เราก็เหมือนคุยกันคนละภาษา และไม่ค่อยได้เจอกันอีก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความผูกพันระหว่างพี่น้องของเราลดลงเลย

ชีวิตของเราแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง น้องชายของหนูเลือกเรียนวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ตามที่เขาถนัด แม้ว่าเขาจะเคยสอบติดคณะแพทย์ถึง 2 สถาบันชื่อดัง ตอนนี้น้องอยู่ปี 3 แล้ว และน้องก็ได้ชื่อว่าเป็นติวเตอร์ประจำคณะ เขาเรียนได้คะแนนสูงที่สุดในรุ่นมาตลอดทั้ง 3 ปี

ตรงกันข้าม หนูเคยมีความใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งจะได้เป็นวิศวกรปิโตรเลียม ได้ไปทำงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล แต่ความฝันก็พังลง เพราะก่อนหน้านี้หนูเป็นภูมิแพ้อย่างหนัก และคนที่จะไปอยู่ ณ จุดนั้นได้ต้องแข็งแรงและไม่มีโรคประจำตัว หนูจึงตัดสินใจเบนเข็มทิศชีวิตและเลือกที่จะเรียนแพทย์ ช่วงปีแรกๆ การเรียนของหนูก็อยู่ในระดับปานกลาง หนูก็ไม่ได้เครียด และทำกิจกรรมในคณะบ้าง แต่หลังจากที่หนูเริ่มจริงจังกับการเรียนมากขึ้น คะแนนของหนูกลับตกต่ำลงอย่างที่หนูไม่เคยเป็นมาก่อน พอทราบว่าหนูเป็นลมชัก หนูก็ยิ่งท้อ เหมือนมีภาระมากขึ้น ทั้งต้องดูแลตัวเอง และต้องพยายามเรียนให้ผ่าน แต่ก็รู้สึกว่าคงไม่ไหว หนูจึงต้องตัดสินใจลาพักการเรียนเพื่อรักษาตัวเองให้ดีก่อน

หนูปิดแฟ้มสะสมผลงานของน้อง น้ำตาไหลอาบแก้ม ทำไมชีวิตของเรามันช่างต่างกันเหลือเกิน ทั้งๆที่แต่ก่อนเราเคยเดินมาบนเส้นทางเดียวกัน มีความฝันเหมือนๆกัน สอนหนังสือให้กันและกัน นั่งรถไปสอบแข่งขันด้วยกัน รางวัลแห่งความภาคภูมิใจต่างๆ เราก็เคยได้มาด้วยกัน

หนูลองมองหาแฟ้มสะสมผลงานสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นของหนูเอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็หาไม่พบ ครั้งสุดท้ายที่หนูเห็นมัน หนูจำได้ว่า หนูเป็นคนยื่นมันให้น้อง น้องเปิดดู หลังจากนั้นหนูก็ไม่ได้เห็นมันอีก

“เอาไปดูเป็นตัวอย่างนะ ทำอย่างที่เค้าทำแหละ รับรอง ถ้าใครได้เห็น เขายินดีรับน้องชัวร์”

หนูอยากจะหาแฟ้มของหนู เพียงเพราะอยากจะเปิดดูอีกครั้ง แต่ไม่รู้จะมีโอกาสได้เห็นมันอีกไหม หนูหลับตา ทุกความทรงจำที่แสนงดงามในแฟ้มนั้น ยังคงอยู่ในใจหนูเสมอ ภาพของนักเรียนหญิงใส่แว่น เรียบร้อย เรียนดี ได้เป็นหัวหน้าห้อง นักดนตรี และนักกิจกรรมตัวยงของโรงเรียน รวมทั้งเกียรติบัตรทุกใบในนั้น ตั้งแต่ครั้งแรกที่ชนะการแข่งขันภาษาไทย ประกวดแต่งกลอนภาษาอังกฤษ ประกวดวาดรูปและร้องเพลง ตอนอยู่ชั้นประถม รางวัลแข่งขันชนะเลิศวิชาคณิตและภาษาอังกฤษ ตัวแทนโอลิมปิควิชาการระดับภาค และรางวัลนักเรียนคุณธรรมดีเด่นประจำปี ในชั้นมัธยมศึกษา

หนูยังคงหาแฟ้มไม่เจอ แม้ว่าหนูจะค้นทั่วทั้งตู้หนังสือ หรือตู้เก็บของเก่า ซึ่งหนูก็หวังว่าอาจจะได้เจอวิดีโอการแสดงบัลเล่ต์ที่แม่เคยเก็บไว้ในนั้น เพราะเป็นครั้งแรกที่หนูได้ออกทีวี แต่หนูก็ยังหาไม่พบทั้งสองอย่าง สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ มีเพียงเกียรติบัตรรางวัลแข่งขันตอบปัญหา ใบนี้เพียงใบเดียวที่ได้ใส่ในกรอบตั้งอยู่บนตู้ เพราะเป็นครั้งแรก และคงจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่หนูได้คว้ารางวัลชนะเลิศระดับประเทศ

ช่างเถอะ มันเป็นอดีตไปแล้ว

แม้หนูอาจจะจำรายละเอียดไม่ได้ทั้งหมด แต่เมื่อหนูนึกถึงมัน ความรู้สึกที่ดีและประสบการณ์เหล่านั้นก็ยังตราตรึงอยู่ในใจของหนูเสมอมา หนูนึกอยากให้ความรู้สึกนี้มันหายไปพร้อมกับแฟ้มสะสมผลงานของหนู จะได้ไม่ต้องนึกถึงมันอีก และไม่ต้องเอามันมาเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้

หนูเก็บแฟ้มของน้องชายเข้าที่เดิม พลางบอกตัวเองให้หยุดร้องไห้ได้แล้ว ที่ผ่านมาหนูไม่เคยนึกอิจฉาน้องชายเลย และยังคงชื่นชมเขาเสมอมา

นึกถึงหนังเรื่อง พุ่มพวงดวงจันทร์ ที่หนูไปดูกับ อ.โฉมพิลาศ และ อ.โกสินทร์ เมื่อคืนนี้ ชีวิตของเธอลำบากกว่าหนูมาก ต้องต่อสู้สุดชีวิต เพื่อจะให้ตัวเองไปถึงจุดสูงสุด แต่พอถึงช่วงที่ชีวิตตกต่ำที่สุด เธอก็ตกต่ำยิ่งกว่าหนูเสียอีก

เสียงของ อ.โฉมพิลาศ ก็ยังคงก้องอยู่ในใจหนูจนถึงตอนนี้ “ออย ชีวิตคนเรา มันก็อย่างนี้แหละ”

“อยู่ที่เรียนรู้ อยู่ที่ยอมรับมัน ตามความคิดสติเราให้ทัน อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน และทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด” ชีวิตเราก็เหมือนเพลงนี้จริงๆ วันจันทร์หน้า หนูจะไปเล่นเพลงนี้ให้คนไข้ฟังอีกครั้งนะคะ

บทสรุป คนทั่วไปมักคิดว่าเมื่อป่วยแล้วป่วยเลย ต้องพักทุกอย่าง เมื่อเห็นผู้ป่วยพยายามทำกิจกรรมตามปกติ ก็มักจะถามจนผู้ป่วยรู้สึกแย่ เหมือนคนผิดปกติ ยกเว้นช่วงชักซึ่งเป็นช่วงเสี้ยววินาทีแต่ถูกมองว่าป่วย ทำอะไรไม่ได้ ต้องพักตลอด จะยิ่งทำให้หมดกำลังใจ ดังนั้นควรให้ผู้ป่วยได้ทำกิจวัตรตามปกติ ความห่วง กังวล สงสารไม่ช่วยอะไร ความไว้วางใจและให้โอกาสสำคัญกว่า ซึ่งก็ไม่แตกต่างกับผู้ป่วยโรคอื่นๆ หรือผู้พิการ ที่ต้องการทำอะไรทุกอย่างด้วยตนเอง ผู้ที่อยู่รอบข้างต้องเข้าใจสิ่งนี้ด้วย ยิ่งเป็นลมชักด้วยแล้ว เวลาที่ไม่มีอาการก็คือปกติดี สามารถทำอะไรก็ได้

การที่เราย้อนหลังดูความสุขที่ผ่านมาในอดีตอาจก่อให้เกิดความทุกข์ได้ ถ้าเรามัวแต่นำความรุ่งเรืองในอดีตมาเปรียบเทียบกับความทุกข์ในปัจจุบัน เพียงแค่เราเปลี่ยนมุมมอง โดยการนำความสุขในอดีตมาเป็นการสร้างกำลังใจให้ตนเองว่า เราก็ทำได้และเราก็ต้องทำให้ได้ดีกว่าด้วยเมื่อเทียบกับอดีต