My Epilepsy Diary ลมชัก…..ฉันรักเธอ ตอนที่ 13: ลมชักรักฉันด้วย

ประสบการณ์ที่หนูได้จากคลินิกโรคลมชัก ทำให้หนูได้รู้จักคนไข้อีกหลายคนที่กำลังจะมีครอบครัวที่สดใส พี่ผู้ชายคนหนึ่งจูงแฟนสาวซึ่งเป็นลมชักเข้ามาที่คลินิก เขาเข้าใจและดูแลแฟนเป็นอย่างดี พี่พยาบาลอีกคนหนึ่งก็เพิ่งคลอดไม่นาน ลูกชายของเธอแข็งแรงดี และเธอสามารถให้นมบุตรได้อย่างปลอดภัย

ตอนออกมาดูคนไข้พร้อมกับอาจารย์ มีพี่ผู้หญิงอายุประมาณ 20 กว่าๆ เดินเข้ามาคนเดียว เธอมาเพื่อติดตามการรักษาและมารับยา ปัจจุบันเธอควบคุมอาการชักได้ดี สามารถทำงานได้ แต่เธอยังโสดอยู่

อาจารย์ถามเธอว่า ถ้าเธอมีแฟน เธอจะบอกแฟนของเธอหรือไม่ ว่าเธอเป็นลมชัก

" หนูคิดว่าต้องบอกค่ะ เพราะว่าลมชักเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา เขาจำเป็นต้องรู้ เพราะเขาต้องดูแลเราได้ ต้องอยู่กับเราไปตลอดชีวิต แต่เราก็ต้องยอมรับถ้าเกิดเขารับไม่ได้ หรือไม่เข้าใจ ก็ถือว่าเขายังไม่เหมาะสมที่จะเป็นคู่ของเรา"

หนูประทับใจกับคำตอบของพี่สาวคนนี้จริงๆ

แต่พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว หนูก็อดคิดถึงเรื่องของตัวเองไม่ได้

อาจารย์ต้อม เพิ่งเข้ามาเป็นอาจารย์คณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขาอายุมากกว่าหนู 5 ปี เราเจอกันครั้งแรก ตอนไปเล่นดนตรีไทยงานพระราชทานเพลิงศพครูใหญ่เมื่อปีที่แล้ว เขาเล่นเครื่องปี่พาทย์เก่งมาก แม้ฝีมือเล่นขิมของหนูจะเทียบไม่ติดเลยก็ตาม แต่จากการได้เล่นดนตรีไทยด้วยกัน ช่วยกันเก็บเครื่องดนตรีจนจบงานในวันนั้น ทำให้หนูได้รู้จักกับพี่ต้อม แม้ครั้งแรกจะไม่ได้สนิทกันมาก แต่เราก็ได้แลกเบอร์โทรศัพท์กันไว้ เผื่องานหน้าจะได้นัดวงดนตรีของทั้งสองคณะมาเล่นด้วยกันอีก

ภาษาดนตรีที่เราโทรคุยกันแทบทุกวัน ทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น มีช่วงหนึ่งหนูไปหัดเล่นซอสามสายที่คณะศิลปกรรม เราจึงได้เจอกันบ่อยๆ บ่อยครั้งที่เราพยายามบรรเลงให้เป็นเพลงเดียวกัน (แม้จะคนละแนวก็ตาม) ตอนนั้นเราสนิทกันพอสมควร แต่หนูก็ยังนับถือเขาเป็นพี่ชายมาตลอด

จนวันหนึ่ง เขาบอกหนูว่า เขาชอบหนู แต่หนูยังไม่ได้ตอบรับในตอนนั้น ขอคิดดูก่อน หลังจากนั้น หนูก็รู้สึกว่าหนูก็ชอบเขาเหมือนกัน เราจึงคบกันในฐานะ "แฟน" ตั้งแต่นั้นมา

ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่หนูมีความสุข การที่ได้รักใครสักคน ได้ไปกินข้าว ดูหนัง ไปเดินเล่น และเรายังคงได้เล่นดนตรีไทยด้วยกันในหลายๆ งานพิธีของมหาวิทยาลัย แต่บางเวลาก็อาจจะไม่ได้คุยกันบ้าง เพราะต่างคนก็ต่างมีหน้าที่ที่แตกต่างกัน

เราคบกันมาประมาณครึ่งปี วันหนึ่งพี่เขาส่งอีเมล์มา ซึ่งหนูก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ “พี่ขอโทษที่พี่รักษาสัญญาที่พี่เคยบอกหนูไว้ไม่ได้ หนูมีบางอย่างที่พี่ไม่ชอบเลย ทั้งๆ ที่พี่ก็พยายามแก้ไข พี่พยายามเปลี่ยนตัวพี่เอง พยายามบอกออย แต่พี่ทำไม่ได้ พี่คงไม่ใช่คนที่ดีพอ ที่จะยอมทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง และตอนนี้พี่รู้สึกว่าพี่รักออยน้อยลง พี่ไม่อยากให้ออยต้องมาเสียใจเพราะพี่ ถ้าเราคบกันต่อไป พี่จะทำให้ออยเสียใจมากกว่านี้ พี่ขอโทษนะ”

หนูเข้าใจในทุกสิ่ง ทุกอย่างที่พี่ต้อมบอก หนูคิดว่ามันไม่ใช่ความผิดใคร ไม่ใช่ทุกคนที่จะดีหมดทุกสิ่ง หนูยอมรับว่าเสียใจ และยังรักพี่เขาอยู่ แต่ก็พยายามคิดว่าเป็นเพราะตัวตนของแต่ละคนอาจจะมีอะไรบางอย่างที่เข้ากันไม่ได้

ด้วยภาระหน้าที่ของแต่ละคนก็คงไม่มีเวลาให้มัวนั่งคิดมากกับเรื่องนี้ หนูต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ หลังจากนั้นหนูจึงตัดใจจากพี่ต้อม และทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนเพียงอย่างเดียว

หนูไม่เคยถามพี่ต้อมเลย ว่า หนูไม่ดีตรงจุดไหน และมีตรงไหนที่หนูควรจะแก้ไข ไม่ใช่เพื่อพี่เขา แต่เพื่อที่หนูจะได้อยู่ร่วมกับคนอื่นได้ หนูเพิ่งจะได้ถามเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง

“พี่ไม่ชอบเลยเวลาพี่บอกอะไรออยแล้วออยไม่สนใจฟัง หรือไม่ก็จำไม่ได้ บางทีก็ชอบทำอะไรหรือพูดอะไรแปลกๆ เวลาขับรถบางทีก็ไม่ค่อยดูทางเลย และออยก็ขี้ลืมมาก ทำของหายบ่อยๆ ไม่ก็เอาไปวางไว้ในที่ที่ไม่ควรจะวาง พี่พยายามบอกออยหลายครั้งแล้ว แต่ออยบอกว่า ออยก็เป็นอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว มันคือตัวตนของออยอยู่แล้ว พี่เลยไม่อยากให้ออยต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อพี่”

หนูยังไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นมันเป็นอย่างไร แต่จากที่ฟังพี่ต้อมเล่าแล้ว อาจเป็นไปได้ว่า ตอนนั้นหนูน่าจะเริ่มมีอาการชักแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครทราบ จึงไม่เคยมีใครทักหนู หนูจึงเล่าอาการของหนูให้พี่ต้อมฟัง

“ถ้าพี่รู้ว่าออยเป็นลมชัก พี่ควรจะดูแลออยให้มากกว่านี้ พี่รู้สึกผิด ที่ผ่านมาพี่ว่าออยมาตลอด แต่ออยก็ขอโทษพี่ทุกครั้ง ทั้งที่ควรจะเป็นฝ่ายขอโทษออยมากกว่า”

“พี่ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะพี่ไม่รู้นี่คะ แล้วก็ไม่ต้องมาห่วงหนู ตอนนี้พี่มีคนที่พี่ต้องดูแลอยู่แล้ว เรื่องของหนูมันผ่านไปแล้ว ถือว่าเป็นบทเรียนละกัน อย่าให้เกิดความไม่เข้าใจกันแบบนี้อีก ดูแลอาจารย์ปุ้ยให้ดี อย่าทำให้เขาเสียใจนะคะ”

หนูก็ทำเป็นเข้มแข็งไปอย่างนั้น แต่ที่จริงในใจก็เจ็บปวดจนแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ และหนูก็ยังรักพี่ต้อมอยู่จนถึงทุกวันนี้

หนูก็เพิ่งจะคิดออก ว่าลมชักเป็นสาเหตุที่ทำให้หนูกับพี่ต้อมต้องเลิกกัน

แต่ก็ยังดีกว่าไม่รู้เลยว่าสาเหตุคืออะไร จริงไหมคะ

(หมายเหตุ-ชื่อที่ใช่ในบันทึกนี้เป็นนามสมมติค่ะ)

บทสรุป ผลกระทบของโรคลมชักมีต่อความสัมพันธ์กับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นอาการเหม่อลอย ไม่รู้สึกตัวขณะชัก หรือหลังชักมีพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงต่อตัวเองหรือผู้อื่นก็ตาม เป็นเหตุให้คนอยู่ใกล้ กลัว หงุดหงิดหรือไม่พอใจ จึงจำเป็นต้องให้คนใกล้ชิดและคนในครอบครัวเข้าใจตัวโรคและอาการที่เป็น นอกจากนี้จากการศึกษาทัศนคติของคนทั่วไปต่อโรคลมชักนั้น พบว่าคนทั่วไปมากกว่าครึ่งไม่อนุญาตให้คนในครอบครัวแต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นโรคลมชัก เนื่องจากแม่ยอมรับผู้หญิงที่เป็นโรคลมชักและยังเข้าใจผิดด้วยว่าผู้หญิงที่เป็นโรคลมชักไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ ไม่สามารถมีลูกได้ตัว