My Epilepsy Diary ลมชัก…..ฉันรักเธอ ตอนที่ 1: เริ่มต้นของน้องออย

สวัสดีค่ะ อาจารย์

หนูได้เขียนบันทึกส่วนแรกนี้ขึ้นมาใหม่เพิ่มเติม หลังจากที่มีหลายคนได้อ่านบันทึกที่หนูทั้งบ่นทั้งระบายอารมณ์ผ่านทางอีเมล์ให้อาจารย์ไปมากมาย มีหลายคนถามมาว่า เริ่มมีเป็นลมชักมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ก่อนรู้ตัวบ้างไหมว่ามีอาการ แล้วมารู้ได้อย่างไรว่าเป็นลมชัก บันทึกส่วนนี้หนูจึงขอเล่าประวัติ และเรื่องราวต่างๆก่อนจะทราบว่าตัวเองเป็นลมชักนะคะ

และนับว่าหนูโชคดีมากที่สามารถสอบเข้ามาเรียนแพทย์ได้ และได้มาเจอกับอาจารย์ ที่เป็นทั้ง “คุณครู” และ “คุณหมอ” ของหนู ไม่งั้นตอนนี้หนูก็คงยังไม่ทราบหรอกค่ะว่าตัวเองเป็นอะไร และคงไม่ได้มานั่งเขียนบันทึกนี้อยู่หรอกค่ะ

มานั่งคิดอีกที หนูก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าอาการที่หนูเป็นอยู่นี้เริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะช่วงที่หนูเริ่มรู้สึกว่ามีอาการบ่อยจนรบกวนชีวิตประจำวันขนาดนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกแน่ๆ แต่ถ้าจะพูดถึงครั้งแรกจริงๆ หนูคงจำไม่ได้ หรือไม่ก็หนูคงไม่รู้สึกตัว อาการก็สังเกตค่อนข้างยาก เพราะไม่ได้มีอาการชักออกมาให้เห็น และหนูยังเป็น attention deficit disorder อีกด้วย ซึ่งอาการก็แยกกันค่อนข้างยาก

บันทึกที่หนูจะเขียนในวันนี้ หนูจะขอเล่าถึงเรื่องในวัยเด็กก็แล้วกันนะคะ

หนูเป็นลูกสาวคนแรกของครอบครัว หลังจากที่พ่อกับแม่แต่งงานและพยายามมีลูกมา 8 ปีกว่า ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวัยอนุบาล หนูก็คงเหมือนเด็กทั่วๆไป มีนิสัยร่าเริง พูดเก่ง กล้าแสดงออก เนื่องจากเกิดมาในครอบครัวที่มีทั้งพ่อและแม่เป็นหมอ จึงอาจจะได้รับการประคบประหงมหน่อย เพราะหนูเป็นโรคภูมิแพ้มาตั้งแต่เด็ก แต่หนูก็ไม่เคยถูกตามใจจนเสีย แม่ซึ่งเป็นหมอเด็กอยู่แล้วก็จะกระตุ้นพัฒนาการหนูอย่างต่อเนื่อง แม่บอกว่าหนูเรียนรู้ได้ไวกว่าเด็กวัยเดียวกันเสียด้วยซ้ำ หนูจึงเป็นเด็กรู้จักคิด มีเหตุผล ว่านอนสอนง่าย หนูเลยเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย นอกจากจะซนเล็กน้อย เพราะสมาธิค่อนข้างสั้น อยู่ไม่ค่อยสุขเวลาที่ต้องนอนที่โรงเรียนตอนบ่าย ไม่เคยนอนหลับ ชอบลุกขึ้นมาเล่นคนเดียว แต่ก็ไม่เคยรบกวนใคร และไม่เคยสร้างปัญหาให้ครอบครัว ผิดกับน้องชายของหนู ซึ่งเกิดตามกันมาภายในปีครึ่ง เป็นเด็กที่ค่อนข้างเลี้ยงยาก พัฒนาการช้า ไม่ค่อยพูด ขี้งอแง กินยาก พูดไม่ค่อยฟัง

เพราะเหตุนี้ คุณพ่อคุณแม่ของหนูจึงตั้งความหวังไว้ว่า ลูกสาวคนนี้จะเป็นคนเก่ง สามารถเรียนได้สูงๆ และมีอนาคตที่ดี ตอนหนูอยู่ชั้นประถมศึกษา คุณครูประจำชั้นชอบเขียนลงในสมุดพกของหนูบ่อยๆ ว่าหนูชอบเหม่อลอยในห้องเรียน เวลาคุณครูเรียกก็ไม่ค่อยสนใจ การบ้านก็ลืมทำบ่อยๆ คุณแม่คิดว่าคงเป็นส่วนหนึ่งของอาการสมาธิสั้น ที่เป็นมาตั้งแต่อนุบาล (แต่อาการกลับไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง) จึงได้ไปปรึกษาจิตแพทย์เด็ก และได้รับการรักษาด้วยยาเพิ่มสมาธิมาเรื่อยๆ อาการก็ดีขึ้นเล็กน้อย การเรียนดีขึ้นมาบ้าง แม้จะไม่ถึงกับสอบได้ที่ 1 แต่ก็สามารถเรียนกับเพื่อนๆวัยเดียวกันได้

อีกเรื่องหนึ่งที่แม่เคยเล่าให้ฟัง ตอนนั้นหนูอายุสิบขวบ มีครั้งหนึ่งที่หนูไปเที่ยว วันนั้นเดินทั้งวันเหนื่อยมาก พอตอนเย็นก็ไปเดินห้างต่อ แล้วหนูก็ยืนเหม่อไปเลย แม่ทั้งเรียกทั้งเขย่าตัวหนูก็ไม่ตอบสนองอะไร แต่สักพักก็กลับมาเป็นปกติ นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในช่วงวัยเด็กที่แม่เห็นหนูมีอาการเช่นนี้ ตอนนั้นจึงก็ไม่มีใครนึกเลยว่าหนูจะเป็นลมชักเลยค่ะ

บทสรุป อาการโรคลมชักอาจคล้ายอาการเด็กสมาธิสั้น คือเหม่อลอย เรียกไม่รู้ตัว ลืมทำโน่น นี่ นั่นบ่อยๆ วินิจฉัยได้ยาก แม้นว่าจะอยู่ใกล้ชิดกับหมอมากๆก็ตาม (เป็นลูกหมอ เด็กเก่งก็ไม่เว้นที่จะเป็นโรคลมชัก) อาการชักแบบเหม่อลอย เรียกไม่รู้ตัว พบบ่อยในวัยเด็กเรียนหนังสือจนถึงวัยรุ่น การชักแบบนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้ด้วยการหายใจแรงๆต่อเนื่อง ดังนั้นน้องออยจึงมีอาการชักแบบเหม่อหลังจากที่เดินจนเหนื่อย การแยกออกจากอาการของสมาธิสั้น คือ การชักนั้นผู้ป่วยจะไม่รู้สึกตัวเลยเป็นระยะเวลาประมาณ 15-45 วินาที เรียกก็ไม่รู้ตัว ดังนั้นเด็กที่มีอาการชักแบบนี้ จะมีปัญหาด้านการเรียน ครูมักจะเขียนในสมุดรายงานว่าชอบนั่งนิ่งเหม่อลอยในห้องเรียน ดังนั้นถ้ามีเด็กในบ้านมีอาการนั่งนิ่งเหม่อลอยบ่อยๆควรพามาพบแพทย์ เพื่อประเมินให้ดีว่าเป็นอาการชักหรือไม่