ลดได้ ตัดได้ ผอมได้ (ตอนที่ 9)
- โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
- 9 เมษายน 2560
- Tweet
ข้อดีของการผ่าตัดแบบสลีฟ
- จำกัดปริมาณอาหารที่กินได้
- ช่วยให้น้ำหนักลดลงได้อย่างรวดเร็วและน้ำหนักหายไปมากกว่าร้อยละ 50
- ไม่ต้องใช้วัสดุแปลกปลอมเหมือนวิธีผ่าตัดรัดกระเพาะ
- ใช้เวลาในการนอนโรงพยาบาลที่สั้นประมาณ 2 วัน
- ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีของฮอร์โมนในกระเพาะอาหารที่หยุดความหิว ลดความอยากอาหาร และอิ่มเร็วขึ้น
ข้อด้อยของการผ่าตัดแบบสลีฟ
- ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้หลังการผ่าตัด (Non-reversible procedure)
- มีความเสี่ยงในการขาดวิตามินในระยะยาวที่สูง
- มีโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนมากกว่าวิธีผ่าตัดรัดกระเพาะ
- มีโอกาสในการเกิดกรดไหลย้อน
ทั้งนี้ ก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยจะต้องพบกับผู้เชี่ยวชาญหลายท่านก่อน เช่น
- แพทย์ ที่ทำการสอบประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจเลือด ซึ่งแพทย์จะให้งดการสูบบุหรี่อย่างน้อย 6 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด
- นักโภชนาการ (Dietitian) ที่จะอธิบายว่า ควรกินและดื่มอย่างไรหลังการผ่าตัด
และภายหลังการผ่าตัด จะต้องมีการติดตามผล กินอาหารที่มีประโยชน์และกินอาหารเสริม เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่พอเพียง ทั้งนี้ การเดินและการเคลื่อนไหวจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังต้องมีการออกกำลังกายด้วย
โดยน้ำหนักที่หายไปหลังการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลรวมถึงวิธีที่ใช้ในการผ่าตัด จากการติดตามศึกษาผู้ที่ผ่าตัดผ่านไปเป็นเวลา 3 ปี พบว่า ผู้ที่ทำการผ่าตัดด้วยวิธีรัดกระเพาะ น้ำหนักเฉลี่ยที่หายไปอยู่ที่ประมาณ 20.45 กิโลกรัม ส่วนวิธีตัดกระเพาะ น้ำหนักเฉลี่ยที่หายไปอยู่ที่ประมาณ 40.90 กิโลกรัม และส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นแต่ไม่เท่ากับตอนก่อนผ่าตัด ส่วนวิธีการผ่าตัดแบบสลีฟนั้นยังไม่ค่อยมีข้อมูล แต่เชื่อว่าน้ำหนักเฉลี่ยที่หายไปน่าจะน้อยกว่าวิธีตัดกระเพาะเล็กน้อย
สำหรับผลข้างเคียงของการผ่าตัดลดความอ้วน ได้แก่
- เลือดออก (Bleeding)
- ติดเชื้อ (Infection)
- มีการรั่วของรอยเย็บที่กระเพาะหรือลำไส้
- ท้องเสีย
แหล่งข้อมูล
1. Bariatric Surgery Procedures. https://asmbs.org/patients/bariatric-surgery-procedures [2017, April 8].
2. Bariatric Surgery. https://www.niddk.nih.gov/health-information/health-topics/weight-control/bariatric-surgery/Pages/definition-facts.aspx [2017, April 8].