ลดได้ ตัดได้ ผอมได้ (ตอนที่ 3)
- โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
- 3 เมษายน 2560
- Tweet
โรคอ้วนสามารถทำให้อายุไขลดลงเฉลี่ยที่ 3-10 ปี และมีผลต่อคุณภาพชีวิตประจำวัน เช่น
- หายใจลำบาก (Breathlessness)
- เหงื่อออกมาก (Increased sweating)
- กรน (Snoring)
- ทำกิจกรรมทางกายลำบาก
- รู้สึกเหนื่อยบ่อย
- ปวดข้อและหลัง
- ขาดความมั่นใจ (Low confidence) และขาดความพึงพอใจในตนเอง (Low self-esteem)
- รู้สึกโดดเดี่ยว (Feeling isolated) และนำไปสู่ภาวะหดหู่ซึมเศร้า (Depression)
นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดปัญหาโรคต่างๆ เช่น
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 diabetes)
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน (Coronary heart disease)
- โรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้
- โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease = GERD)
- โรคนิ่วในถุงน้ำดี (Gallstones)
- โรคหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnoea)
การวัดว่าเป็นโรคอ้วนหรือไม่ นิยมเทียบจากค่าดัชนีมวลกาย (The body mass index = BMI) ซึ่งมีความสัมพันธ์กับความสูง เพศ และอายุ ตามสูตรคำนวณคือ
BMI = น้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) / ความสูง (หน่วยเป็นเมตร) ยกกำลังสอง
โดยมีการแปรค่าดัชนีมวลกายในผู้ใหญ่ทั่วไปดังนี้
- 18.5 - 24.9 หมายความว่า มีสุขภาพดี
- 25 - 29.9 หมายความว่า น้ำหนักเกิน (Overweight)
- 30 - 39.9 หมายความว่า อ้วน (Obese)
- 40 ขึ้นไป หมายความว่า อ้วนมาก (Severely obese)
อย่างไรก็ดีการวัดค่าดัชนีมวลกายเพียงอย่างเดียวอาจใช้ไม่ได้กับผู้ที่มีกล้ามเนื้อมากแต่ไม่มีไขมันเกิน ดังนั้นจึงต้องใช้การวัดวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การวัดรอบเอว ซึ่งโดยทั่วไปผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่า 37 นิ้ว หรือผู้หญิงที่มีรอบเอวมากกว่า 31.5 นิ้ว จะถือว่าเป็นโรคอ้วน
แหล่งข้อมูล
1. Obesity. http://www.nhs.uk/conditions/Obesity/Pages/Introduction.aspx [2017, April 1].