ภาวะช่องคลอดแห้ง (Vaginal dryness) / ภาวะร้อนวูบวาบในวัยหมดประจำเดือน (Hot flashes in postmenopause)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

โดยเฉลี่ย สตรีไทยจะหมดประจำเดือนเมื่ออายุประมาณ 50 ปี รังไข่จะหยุดทำงาน จึงทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่เป็นฮอร์โมนเพศสำคัญแห่งการเป็นผู้หญิงลดลง  นอกจากจะทำให้เลือดประจำเดือนที่เคยเป็นทุกเดือนขาดหายไปแล้ว ยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเกิดอาการหลายอย่างในสตรี   ได้แก่ อาการร้อนวูบวาบ (Hot flashes หรือ Hot flushes)  เหงื่อออกกลางคืน  ใจสั่น  หงุดหงิด  ความต้องการทางเพศลดลง  ช่องคลอดแห้ง  อารมณ์อ่อนไหวเดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์ร้าย   มีอาการเหนื่อยง่าย  อ่อนเพลีย   นอนไม่หลับ  ผมร่วง ความจำเสื่อม   ปวดตามข้อ  ปวดโน่นปวดนี่  กล้ามเนื้อไม่มีแรง/กล้ามเนื้ออ่อนแรง   หรือเกิดอาการซึมเศร้า  แต่อาการที่พบบ่อยที่สุด  คือภาวะช่องคลอดแห้ง (Vaginal dryness) และ อาการร้อนวูบวาบตามร่างกาย  (Hot flashes) ซึ่งเป็นอาการ/ภาวะที่จะกล่าวถึงในบทความนี้

 

ภาวะช่องคลอดแห้งและภาวะร้อนวูบวาบในวัยหมดประจำเดือนคืออะไร?

ภาวะช่องคลอดแห้ง
  • ช่องคลอดแห้ง: เป็นอาการ/ภาวะที่ช่องคลอดสตรีไม่มีเมือกมาหล่อลื่นตามปกติ หากตรวจภายในช่องคลอดจะพบว่า
  • ไม่มี หรือมีเมือกน้อยกว่าปกติ
  • รอยย่นของช่องคลอดจะลดลง
  • เยื่อบุช่องคลอดจะเป็นสีแดงมากกว่าเยื่อบุช่องคลอดปกติที่เป็นสีชมพู
  • เมื่อสัมผัสผิวเยื่อบุช่องคลอดในภาวะที่ช่องคลอดแห้ง เลือดจะออกได้ได้ง่าย

ทั้งนี้ ภาวะนี้พบบ่อยในสตรีวัยหมดประจำเดือน เพราะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ทำให้เกิดความชุ่มชื่น และความยืดหยุ่นของช่องคลอดในขณะที่ยังอยู่ในวัยที่ยังมีประจำเดือน

  • ร้อนวูบวาบ: เป็นอาการ/ภาวะ
  • ความรู้สึกว่ามีอาการร้อนตามหน้า ตามร่างกาย เเขน ขา, ขณะเกิดอาการฯอาจมองเห็นร่างกายโดยเฉพาะส่วนบนเป็นสีแดงด้วย
  • อาการออกร้อนตามตัวจะคงอยู่ประมาณ 30  วินาที ถึง  2-3 นาที อาจพบว่ามีผิวหนังแดงขึ้น  
  • อาการจะเกิดเป็นระยะๆ
  • นอกจากนั้น ยังพบว่ามีเหงื่อออกมากเวลาที่มีอาการเหล่านี้ โดยเฉพาะเวลากลางคืนที่คนอื่นจะรู้สึกเย็น แต่สตรีเหล่านี้กลับจะรู้สึกร้อน เหงื่อออกมาก

*อนึ่ง: อาการเหล่านี้จะพบได้บ่อยในสตรีวัยใกล้หมดประจำเดือน หรือ วัยหมดประจำเดือนในช่วงแรกๆ     

 

ภาวะช่องคลอดแห้งและภาวะร้อนวูบวาบมีความสำคัญอย่างไร?

ช่องคลอดแห้ง เกิดได้ในสตรีวัยหมดประจำเดือนทุกคน  แต่อาการจะมากหรือน้อยแตกต่างกันไป  พบว่าประมาณ 10-40%   มีอาการค่อนข้างมาก   ซึ่งจะมีผลกระทบต่อทั้งตนเองและชีวิตครอบครัว 

ช่องคลอดแห้ง จะทำให้เกิดอาการแสบที่ช่องคลอด โดยเฉพาะหากมีเพศสัมพันธ์มีการเสียดสี จะทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนมากจนทำให้ไม่อยากมีเพศสัมพันธ์ หรือพยายามหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์  ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุนำมาซึ่งปัญหาครอบครัว  หรือปัญหาความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา 

นอกจากนั้นช่องคลอดแห้งก็ทำให้เกิดอาการคัน  และมีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ง่ายขึ้นด้วยทั้ง แบคทีเรีย และโรคเชื้อรา

ส่วนภาวะร้อนวูบวาบ ที่ทำให้เกิดอาการร้อนวูบๆวาบๆจะส่งผลให้รู้สึกไม่สบายตัว, ทำให้พักผ่อนไม่ได้, ส่งผลให้เกิดอารมณ์หงุดหงิด,  อารมณ์เสียบ่อยๆอาละวาดสมาชิกในบ้าน, ทำให้มีผลกระทบต่อทั้งตนเองและชีวิตครอบครัวด้วยเช่นกัน  อาการร้อนวูบวาบ นี้พบได้บ่อยถึงประมาณ 75-80%  แต่ความรุนแรงแตกต่างกันไป

 

สาเหตุที่ทำให้เกิดช่องคลอดแห้งและภาวะร้อนวูบวาบมีอะไรบ้าง?

ภาวะช่องคลอดแห้งและภาวะร้อนวูบวาบเกิดจาก

  • การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เคยสร้างจากรังไข่ ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักในการสร้างความชุ่มชื่นในช่องคลอด   
  • นอกจากนั้น การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนจะมีผลต่อการปรับจุดสมดุลของอุณหภูมิของร่างกาย(Thermoregulation)ทำให้รู้สึกอออกร้อนวูบวาบตามตัว  

อย่างไรก็ตาม อาการนี้จะเป็นสักช่วงระยะเวลาหนึ่ง  หลังจากร่างกายปรับสภาพได้ อาการ’ร้อนวูบวาบ’เหล่านี้จะดีขึ้น, *แต่อาการ’ช่องคลอดแห้ง’มักยังคงอยู่ตลอดไป

 

ดูแลรักษาตนเองอย่างไรเมื่อมีภาวะช่องคลอดแห้งและภาวะร้อนวูบวาบ?

ปัญหาช่องคลอดแห้งและภาวะร้อนวูบวาบเป็นเรื่องปกติที่สตรีทุกคนต้องประสบเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน  แต่อาการมากบ้างน้อยบ้างไม่เท่ากัน

โดยทั่วไปช่องคลอดจะยืดหยุ่นได้มาก  แต่เมื่อน้ำเมือกหล่อลื่นลดลงจะทำให้เกิดการแห้งและแสบได้

หรือการมีภาวะร้อนวูบวาบ ออกร้อนตามตัว หงุดหงิดเป็นประจำก็จะพบได้บ่อยขึ้นจากภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำลง  

การดูแลรักษาตนเองในภาวะอาการเหล่านี้ ที่จะช่วยให้อาการเหล่านี้ดีขึ้น คือ

  • การดูแลสุขภาพร่างกายตนเองเบื้องต้นให้แข็งแรง
  • การออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนทุกวัน
  • เพิ่มอาหารที่มีสารคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีในพืชผัก (Phytoestrogen มีมากใน ถั่วเหลือง)
  • ลดการดื่มเหล้า/เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ไม่สูบบุหรี่/ลดสูบบุหรี่
  • การพูดคุยกับสามีในเรื่องความต้องการทางเพศ การมีเพศสัมพันธ์อย่างเข้าอกเข้าใจกัน
  • และการทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส จะทำอาการเหล่านี้ดีขึ้น

 

ควรพบแพทย์เมื่อใด? มีวิธีรักษาอย่างไร?

การพบแพทย์และการรักษา:      

ก. ช่องคลอดแห้ง:   หากมีอาการช่องคลอดแห้ง  และเกิดอาการปวดแสบปวดร้อนช่องคลอดจนรบกวนชีวิตประจำวัน,  มีปัญหาในการมีเพศสัมพันธ์,   ไม่ควรคิดว่าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ  หรือปล่อยชีวิตให้ได้รับความทุกข์ทรมาน หรือจนเกิดปัญหาครอบครัว  ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ที่สามารถจะให้คำปรึกษาหรือให้การรักษาได้อย่างถูกต้อง

ยาที่ใชัรักษาภาวะช่องคลอดแห้ง  ได้แก่

  • ยาใช้เฉพาะที่ ที่ไม่ใช่ฮอร์โมน: ควรเลือกใช้เป็นอันดับแรก  เพราะผลข้างเคียงน้อยกว่า  เช่น 
    • ครีมพวก Moisturizer ที่ให้ความชุ่มชื้น
    • หรือ ครีมหล่อลื่น K-Y gel  โดยเฉพาะเวลามีเพศสัมพันธ์  
    • หากใช้ไม่ได้ผล ค่อยเปลี่ยนไปใช้ยากลุ่มฮอร์โมน
  • ยาที่มีส่วนประกอบฮอร์โมนเอสโตรเจน แบ่งเป็น
    • ยาฮอร์โมนเฉพาะที่: คือใช้เฉพาะที่ช่องคลอด 
      • ข้อดีของยาแบบนี้คือ ออกฤทธิ์ที่ช่องคลอดโดยตรง มีการดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดน้อย
      • ยาที่ใช้ เช่น ครีมทาช่องคลอด หรือยาเม็ดชนิดเหน็บช่องคลอด เช่น  Premarin cream® (Conjugated equine estrogens vaginal cream), Ovestin cream® (Estriol vaginal cream), Vagifem® (Estradiol vaginal tablet)   
      • ควรใช้เป็นครีมทาช่องคลอด หรือยาเม็ดเหน็บช่องคลอดทุกวันในระยะแรก 2 สัปดาห์  ต่อไปใช้เหลือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จนกว่าจะไม่มีอาการแสบช่องคลอดอีก   
      • อาการข้างเคียงจากการใช้ยาเหล่านี้ ทำให้มีหน้าอกคัดตึง หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดได้ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปริมาณเอสโตรเจนที่ใช้มีปริมาณน้อย จึงไม่จำเป็นต้องให้ยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนโปรเจสติน(Progestin)
      • อย่างไรก็ตามไม่ควรซื้อยาใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
  • ยาฮอร์โมนให้ผลทั่วร่างกาย: เป็นยาที่มีส่วนประกอบฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน ได้แก่ ยาชนิดเม็ดรับประทาน  หรืออาจเป็นฮอร์โมนแผ่นแปะผิวหนัง  ครีมฮอร์โมนทาผิวหนัง,  ยาเหล่านี้ออกฤทธิ์ไม่เฉพาะที่ช่องคลอดแต่จะช่วยรักษาอาการอื่นๆของอาการขาดประจำเดือนด้วย  เช่น ภาวะร้อนวูบวาบ, อารมณ์หงุดหงิด,  นอนไม่หลับ

ข. ร้อนวูบวาบ: ส่วนอาการร้อนวูบวาบ หากมีอาการมากจนทำงานไม่ได้  พักผ่อนไม่ได้  หงุดหงิดมาก ก็สมควรไปพบแพทย์เพื่อรับประทานยาบรรเทาอาการ 

ยาที่ใชัรักษาภาวะร้อนวูบวาบ ได้แก่

  • ยาที่มีส่วนประกอบฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสติน: มีทั้งชนิด
    • ยาเม็ดรับประทาน: เช่น  Cycloprogynova® (Estradiol valerate+ Norgestrel), Angelic®  (Estradiol + Drospirenone),    
    • ยาครีมทาตัว: เช่น Divigel® (Estradiol gel),   
    • ยาแผ่นปิดผิวหนัง: เช่น Climara 50® (Estradiol hemihydrate patch)  

 ทั้งนี้ ในสตรีที่ยังมีมดลูกเมื่อได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว ต้องได้รับฮอร์โมนโปรเจสตินร่วมด้วย เพื่อป้องกันการกระตุ้นเยื่อบุโพรงมดลูกมากเกินไปจากฮอร์โมนเอสโตรเจน  ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติของเยื่อบุโพรงมดลูกได้ เช่น เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด

 

วิธีใช้ยารักษาอาการร้อนวูบวาบ:

ก. ยาชนิดรับประทาน:

  • แบบรับประทานติดต่อกันไปทุกวัน มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสตินรวมกันในยาทุกเม็ด
  • แบบรับประทานเป็นรอบๆ โดยในช่วงแรกของการรับประทานยาจะมีเฉพาะฮอร์โมนเอสโตรเจน  และในช่วงหลังจะมีการเสริมฮอร์โมนโปรเจสตินเลียนแบบธรรมชาติ และจะมีการเว้นช่วงที่ไม่รับประทานยาเพื่อให้มีเลือดประจำเดือนออกมา

ข. ส่วนยาชนิดที่เป็นครีมเอสโตรเจน หรือแผ่นแปะเอสโตรเจน: สามารถใช้ต่อกันทุกวันหรือจะใช้เป็นช่วงคล้ายแบบรับประทานได้   แต่ที่สำคัญคือ ต้องมียากลุ่มโปรเจสตินร่วมด้วยเช่นกัน,  รูปแบบของยาฮอร์โมนโปรเจสตินมีเป็นแบบชนิดรับประทาน  และแบบห่วงอนามัยที่มีการเคลือบฮอร์โมนโปรเจสจิน

ค. นอกจากนั้นยังมียาที่เป็นสารสังเคราะห์ให้ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจร  โปรเจสเตอโรนและแอนโดรเจน คือ  Livial ®  (Tibolone)   ที่ใช้รักษาอาการเหล่านี้ได้

*****หมายเหตุ:  ยาฮอร์โมนเหล่านี้เป็นยาอันตราย

  • ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์  
  • ต้องควบคุมระยะเวลาในการรับประทานยา
  • รับประทานยาในขนาดต่ำที่สุดที่ควบคุมอาการได้
  • และควรรับประทานในระยะเวลาสั้นที่สุด  
  • ควรหยุดยาเมื่อไม่มีอาการผิดปกติแล้ว

 

ผลข้างเคียงจากการใช้ยาฮอร์โมน

ผลข้างเคียงจากการใช้ยาฮอร์โมน เช่น

***** ทั้งนี้ ในกรณีที่ต้องใช้ยาฮอร์โมนเหล่านี้เป็นเวลานาน  ต้องมีการตรวจสุขภาพติดตามการเปลี่ยนแปลงหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยา คือ ตรวจระดับไขมันในเลือด  และตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม/การตรวจภาพรังสีเต้านม (Mammogram) ทุกปี

 

สตรีที่ห้ามใช้ยาฮอร์โมน

สตรีที่ห้ามใช้ยาฮอร์โมน เช่น

  • มีโรคตับ
  • ประวัติเป็นโรคมะเร็งที่เกี่ยวกับฮอร์โมนเอสโตรเจน เช่น  มะเร็งเต้านม,    มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
  • มีประวัติหลอดเลือดอุดตัน (ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ)
  • มีเลือดออกทางช่องคลอดที่ยังหาสาเหตุไม่ได้

 

การใช้ยาที่ไม่ใช่ฮอร์โมนรักษาภาวะร้อนวูบวาบ

ยาที่ไม่ใช่ฮอร์โมนที่ใช้รักษาภาวะร้อนวูบวาบ เช่น  

  • ยากลุ่ม Selective serotonin reuptake inhibitor (SSRI)   เช่น ยา  Paroxetine, Venlafaxine, Fluoxetine, and Citalopram 23  ตามปกติใช้รักษาภาวะวิตกกังวล  หรือโรคซึมเศร้า  พบว่าสามารถช่วยรักษาภาวะร้อนวูบวาบ   ได้
  • ยา Clonidine ตามปกติใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง พบว่าสามารถช่วยรักษาภาวะร้อนวูบวาบได้
  • ยา Gabapentin ตามปกติใช้รักษาโรคลมชัก  พบว่าสามารถช่วยรักษาภาวะร้อนวูบวาบได้

สรุป:  หากสตรีวัยหมดประจำเดือนมีอาการทั้งช่องคลอดแห้ง และ ภาวะร้อนวูบวาบ   

  • การเลือกใช้ยาฮอร์โมนชนิดรับประทานก็จะช่วยแก้ปัญหาทั้งหมด
  • แต่หากมีเพียงอาการช่องคลอดแห้ง การเลือกใช้ยาเฉพาะที่จะได้ประโยชน์มากที่สุด
  • แต่ทั้งนี้การใช้ยาทุกชนิด ควรต้องได้รับการแนะนำ/รักษาจากแพทย์สูตินรีแพทย์

มีวิธีการป้องกันภาวะช่องคลอดแห้งและภาวะร้อนวูบวาบอย่างไร?

การดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงอยู่เสมอเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ชีวิตสตรีเปลี่ยนผ่านจากช่วงมีประจำเดือนไปสู่ วัยหมดประจำเดือนอย่างมีความสุขและมีคุณภาพ 

 โดยการดูแลสุขภาพ ต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนหมดประจำเดือน  ไม่ใช่รอจนหมดประจำเดือน หรือเมื่อมีอาการแล้วค่อยมาสนใจสุขภาพ 

 สิ่งที่ควรปฏิบัติในทุกช่วงชีวิต คือ

  1. รับประทานอาหารให้ถูกต้อง ควรลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล  อาหารที่มีไขมันสูง  เน้นอาหารจำพวกผัก  ผลไม้ให้มากขึ้น
  2. ดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนมเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มปริมาณแคลเซียม 1-2 กล่องต่อวัน
  3. ดื่มนมถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ หรือผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับถั่วเหลืองเพื่อเพิ่ม Phytoestrogen (ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากพืช) 1-2 กล่องต่อวัน
  4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ครั้งละ  30  นาที สัปดาห์ละ  3  ครั้ง
  5. สวมใส่เสื้อผ้าที่ใส่สบาย นุ่ม  ระบายอากาศได้ดี
  6. งดดื่มเหล้า/เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
  7. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  8. ฝึกสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ

 

เมื่อช่องคลอดแห้งยังมีเพศสัมพันธ์ได้ไหม ? ควรดูแลอย่างไรในการมีเพศสัมพันธ์?

ในสตรีวัยหมดประจำเดือน  ความต้องการทางเพศมักจะลดลงเนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงลดลงตามธรรมชาติอยู่แล้ว และหากมีอาการช่องคลอดแห้งจะทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อนเวลามีเพศสัมพันธ์กับสามี  จึงส่งผลทำให้สตรีในวัยนี้ไม่ค่อยอยากมีเพศสัมพันธ์  หรือหาทางหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์มากที่สุด,   ซึ่งจะตรงข้ามกับฝ่ายชายที่ยังมีความต้องการทางเพศอยู่เสมอ จึงทำให้อาจเกิดปัญหาในชีวิตคู่ได้  จริงๆ แล้วการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องธรรมชาติ สตรีในวัยหมดประจำเดือนยังมีเพศสัมพันธ์กับสามีได้ตามปกติ  แต่การที่ทำให้ทุกฝ่ายมีความสุข  และสตรีไม่มีอาการเจ็บแสบช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์(เจ็บเมื่อร่วมเพศ) คือ

  1. ใช้สารหล่อลื่น เช่น ยาหล่อลื่น K-Y gel ทาที่ปากช่องคลอดก่อนมีเพศสัมพันธ์ จะทำให้ช่องคลอดลื่น ไม่แสบ ควรเลือกใช้เป็นอันดับแรกเพราะไม่ค่อยมีผลข้างเคียงจากยา เป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย
  2.   ครีมที่เป็นฮอร์โมนเอสโตรเจน   หากใช้เจลหล่อลื่น  K-Y gel  แล้วยังมีอาการแสบช่องคลอดอยู่  ให้ปรึกษาสูติ-นรีแพทย์  ซึ่งแพทย์จะสั่งครีมที่เป็นฮอร์โมนมาทาในช่องคลอด  ครีมจะช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ในช่องคลอดให้หนาขึ้น  มีความยึดหยุ่นมากขึ้น  มีเมือกมากขึ้น  ทำให้ไม่แสบช่องคลอดเวลามีเพศสัมพันธ์ แต่การใช้ยาตัวนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
  3.   สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การดูแลด้านจิตใจ  ฝ่ายชายควรแสดงความรัก  ความเข้าอกเข้าใจภรรยา  จะทำให้ทุกฝ่ายมีความสุขกับการมีเพศสัมพันธ์   และจะได้ไม่เกิดปัญหาในชีวิตคู่ตามมา   

 

บรรณานุกรม

  1. Grady D. Clinical practice. Management of menopausal symptoms. N Engl J Med. 2006 ; 355:2338-47.
  2. Johnston SL, Farrell SA . The detection and management of vaginal atrophy.J Obstet Gynaecol Can 2004; 26:503–8.
  3. MacLennan A, Lester S, Moore V. Oral estrogen replacement therapy versus placebo for hot flushes: a systematic review. In: The Cochrane Library, Issue 2, 2002: Oxford: Update Software.
  1. Nelson HD. Commonly used types of postmenopausal estrogen for treatment of hot flashes: scientific review. JAMA 2004 ; 291:1610–20.
  1. Newton KM, Reed SD, LaCroix AZ, Grothaus LC, Ehrlich K, Guiltinan J. Treatment of vasomotor symptoms of menopause with black cohosh, multibotanicals, soy, hormone therapy, or placebo: a randomized trial. Ann Intern Med. 2006 ; 145:869–79.
  1. https://www.womens-health-concern.org/help-and-advice/factsheets/vaginal-dryness/ [2021,Nov13]