โรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ หรือไข้หัว สำหรับในภาษาอังกฤษเรียกว่า Small pox หรือ Variola โดยคำว่า Variola มาจากภาษาละติน แปลว่า จุด หรือตุ่ม โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยอาการหลักของผู้ป่วย คือ มีผื่นที่เป็นตุ่มหนองขึ้นตามผิวหนัง ซึ่งดูเป็นที่น่ารังเกียจ และผื่นเหล่านี้เองก็สามารถแพร่เชื้อได้ด้วย โรคนี้ติด ต่อกันได้ค่อนข้างง่าย มีโอกาสเสียชีวิตได้สูง ยังไม่มียารักษา มีวัคซีนสำหรับป้องกันได้ แต่ในปัจจุบันโรคนี้ได้ถูกกำจัดให้สูญสิ้นไปแล้ว จึงไม่มีการแนะนำให้ฉีดวัคซีนในประชากรทั่วไปอีกต่อไป
สันนิษฐานว่าโรคฝีดาษน่าจะปรากฏในมนุษย์มาตั้งแต่ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล แต่หลักฐานที่ชัดเจนได้มาจากการตรวจศพมัมมี่ของฟาโรห์นามว่า Rammes ses ที่ 5 ซึ่งตรวจพบรอยโรคที่คล้ายตุ่มหนองขึ้นตามลำตัว คาดว่าน่าจะเป็นโรคฝี ดาษ โดยฟาโรห์ท่านนี้เสียชีวิตเมื่อ 1,157 ปีก่อนคริสตกาล จากนั้นโรคฝีดาษจากประเทศอียิปต์ก็ได้แพร่เข้าสู่ประเทศอินเดีย ไปยังประเทศจีน แล้วเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 6 และโรคนี้ก็ได้แพร่เข้าไปในทวีปยุโรปในช่วงประมาณศตวรรษที่ 11-12 เมื่อผู้คนเริ่มรู้จักโรคนี้มากขึ้น คำว่า Smallpox จึงได้ถูกนำมาเรียกชื่อกับโรคนี้ในช่วงศตวรรษที่ 15 เพื่อแยกกับโรคซิฟิลิส (ซึ่งคนในสมัยก่อนเรียกว่า Greatpox ) ในช่วง พ.ศ. 2297-2300 ได้เกิดสงครามระหว่างฝรั่งเศสกับอังกฤษ (French and Indian War) ที่ทวีปอเมริกาเหนือ และนับเป็นครั้งแรกที่มีการนำเชื้อฝีดาษมาใช้เป็นอาวุธเชื้อโรค ทำให้โรคฝีดาษแพร่สู่ชาวอเมริกัน-อินเดียน ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของทวีปอเมริกา หลังจากนั้นก็ได้แพร่ไปสู่ทุกทวีปทั่วโลก โดยประเทศออสเตรเลีย เป็นประเทศสุดท้ายที่โรคได้แพร่เข้าไปในช่วงศตวรรษที่ 18
ในช่วงศตวรรษที่ 10 ประเทศจีนและอินเดียได้พยายามคิดค้นหาวิธีต่างๆในการป้องกันโรคฝีดาษ เช่น การให้สูดหายใจเอาสะเก็ดแผลของผู้ป่วยเข้าไป หรือการสะกิดเอาหนองของผู้ที่เป็นโรคนี้ไปฉีดให้กับผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคมาก่อน ซึ่งพบว่า เมื่อติดเชื้อฝีดาษในภายหลังจะช่วยลดความรุนแรงของโรคลงได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับการป้องกันโรคฝีดาษด้วยวิธีต่างๆเหล่านี้ ก็ยังมีโอกาสเสียชีวิตได้อยู่ อีกทั้งวิธี การเก็บเชื้อที่ไม่ปลอดภัยเหล่านี้ สามารถเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคได้ จึงไม่มีการนำมาใช้อีกต่อไป
ในปี พ.ศ. 2341 Edward Jenner นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้เก็บข้อมูลและพบว่าคนที่เป็นโรคฝีดาษวัวซึ่งติดมาจากวัวนั้น แทบไม่มีใครเป็นโรคฝีดาษคนเลย (โรคฝีดาษวัวจะมีผื่นที่คล้ายกับโรคฝีดาษในคน แต่อาการจะเป็นเฉพาะที่ ไม่รุน แรง และไม่ทำให้เสียชีวิต) จึงได้ทำการทดลอง โดยการสะกิดเอาหนองจากตุ่มที่มือของคนรีดนมวัวที่เป็นโรคฝีดาษวัวอยู่ มาฉีดเข้าที่แขนให้กับเด็กอายุ 8 ขวบ ก็พบว่าสามารถป้องกันโรคนี้ได้ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ ที่ต่อมาได้แพร่หลายนำไปใช้ทั่วโลก และสามารถช่วยชีวิตคนได้มากมาย
เนื่องจากโรคนี้ทำให้ประชากรทั่วโลกต้องเสียชีวิตลงอย่างมาก โดยในช่วงศตวรรษที่ 20 มีผู้เสียชีวิตจากโรคฝีดาษไปประมาณ 300 ล้านคน องค์การอนามัยโลกจึงได้พยายามกำจัดโรคนี้ให้สูญสิ้นไปโดยการใช้วัคซีน และในปี พ.ศ. 2520 นับเป็นปีสุดท้ายที่มีรายงานผู้ป่วยโรคฝีดาษที่เกิดจากการระบาดตามธรรมชาติ ดัง นั้นในปี พ.ศ. 2522 องค์การอนามัยโลกจึงให้ยกเลิกการฉีดวัคซีนในประชาชนทั่วไป และในปี พ.ศ. 2523 ก็ได้มีประกาศการสูญสิ้นของโรคฝีดาษ ซึ่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา ทุกประเทศก็ได้ยกเลิกการฉีดวัคซีนชนิดนี้
โรคฝีดาษเกิดจากไวรัสชื่อ Orthopoxvirus หรือ Variola virus ซึ่งเป็นสายพันธุ์ (Genus) เดียวกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษใน วัว ควาย แพะ แกะ และลิง รวมทั้งอยู่ในกลุ่มเดียวกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคหูดข้าวสุกในคน โรคฝีดาษในสัตว์สามารถติดต่อมาสู่คนได้ แต่อาการจะเป็นเฉพาะที่ และไม่รุนแรง สำหรับโรคฝีดาษในคน จะติดต่อจากคนสู่คนโดยตรง ไม่มีสัตว์ หรือแมลงที่เป็นรังโรค หรือเป็นพาหะโรคนำมาสู่คน (ดังนั้น เราจึงสามารถกวาดล้างโรคได้หมด)
การติดเชื้อเกิดจากการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย (Face-to-face contact) และหายใจเอาเชื้อไวรัสที่กระจายอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วยเข้าไป (Air droplets transmission) บางครั้งอาจรับเชื้อมาจากเสื้อผ้า หรือที่นอนของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อจากหนอง หรือสะเก็ดแผลอยู่ การติดเชื้อเกิดได้ค่อนข้างง่าย โดยพบว่าเป็นรองต่อโรคหัด และโรคไข้หวัดใหญ่เท่านั้น
การก่อโรคฝีดาษ คือ เมื่อเราหายใจรับเชื้อฝีดาษเข้าไป เชื้อก็จะทะลุผ่านเยื่อเมือกบุคอหอย และเยื่อเมือกบุทางเดินหายใจ เดินทางไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง และเจริญเติบโตแบ่งตัวจนเซลล์ของต่อมน้ำเหลืองแตกออก เชื้อก็จะเข้าสู่กระแสเลือด (โลหิต) เดินทางไปยัง ม้าม ไขสันหลัง และต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย แล้วแบ่งตัวเจริญเติบโต และกลับเข้าสู่กระแสเลือดอีกครั้ง ซึ่งในครั้งหลังนี้เองที่เชื้อโรคเดินทางไปยังผิวหนัง และทำให้เกิดผื่นขึ้นมา
ระยะฟักตัวของโรคฝีดาษ คือตั้งแต่รับเชื้อจนกระทั่งแสดงอาการจะประมาณ 7-17 วัน โดยสามารถแบ่งอาการของโรคฝีดาษออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มที่เรียกว่า “Variola major““Variola minor” ซึ่งมีอาการรุนแรง และกลุ่ม ซึ่งมีอาการรุนแรงน้อยกว่า
ลักษณะของผื่น เริ่มต้นจะเป็นผื่นแบบแบนราบ ต่อมาจะนูนขึ้นเป็นตุ่มกลมๆ ซึ่งมีรอยบุ๋มตรงกลาง หลังจากนั้นผื่นจะกลายเป็นตุ่มหนองซึ่งค่อนข้างแข็ง เวลาสัม ผัสจะรู้สึกเหมือนมีเม็ดพลาสติกฝังอยู่ในผิวหนัง ผื่นเหล่านี้จะมีเชื้อไวรัสอยู่และสามารถแพร่เชื้อได้ หลังจากผื่นขึ้นได้ 2 สัปดาห์ ผื่นจะตกสะเก็ด และค่อยๆลอกร่อนออกไปจนหมดกลายเป็นแผลเป็นแบบบุ๋ม และมีสีจางกว่าผิวหนังปกติ เมื่อมาถึงระยะนี้ ผู้ป่วยจะไม่แพร่เชื้ออีกต่อไป
เนื่องจากในปัจจุบันโรคนี้ได้หายไปนานแล้ว แพทย์ในปัจจุบันจะไม่ได้นึกถึงโรคนี้ในการวินิจฉัยแยกโรคต่างๆอีกต่อไป แต่ในกรณีพิเศษ คือ เมื่อเกิดภาวะสงคราม หรือการก่อการร้ายข้ามชาติ อย่างเช่นที่เกิดในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เกิดเหตุการณ์ผู้ก่อการร้ายปล้นเครื่องบินโดยสารแล้วขับชนตึก เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 จะต้องตระหนักว่าอาจมีการใช้อาวุธเชื้อโรค จึงอาจมีการปรากฏของโรคนี้อีกครั้ง การวินิจฉัยโรคนี้ ถ้าเป็นในสมัยก่อนจะวินิจฉัยได้ไม่ยาก โดยอาศัยจากอาการดังกล่าวข้างต้น แต่หากเป็นการติดเชื้อที่เกิดจากอาวุธเชื้อโรค อาการแสดงของโรคอาจไม่ตรงไปตรงมา เนื่องจากเชื้ออาจถูกดัดแปลงพันธุกรรม การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการจะนำมาช่วยในการวินิจฉัยได้ โดยการป้ายเอาสารคัดหลั่งจากลำคอ หรือใช้เครื่องมือขูดเอาหนองจากผื่นที่สงสัยว่าอาจเป็นฝีดาษ มาตรวจโดยวิธีต่างๆ เช่น
ผลข้างเคียงและความรุนแรงของโรคฝีดาษ คือ
การดูแลตนเองที่สำคัญ คือ เมื่อมีอาการดังกล่าวควรรีบพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยโรคที่แน่นอน และเพื่อการแยกตัวไม่ให้สัมผัสกับผู้อื่น อย่างน้อย 3-4 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค ซึ่งในโรงพยาบาล ขณะแยกตัวการดูแล คือการพักผ่อน การดูแลเรื่องสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) การดูแลเรื่องอาหารให้ได้อาหารมีประโยชน์ 5 หมู่เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และการดูแลรักษาประคับประ คองตามอาการ
ส่วนผู้ที่สัมผัสโรค ควรรีบพบแพทย์เช่นกันภายใน 1-2 วันเพื่อการรับวัคซีนป้องกันโรค และแพทย์มักแนะนำการแยกตัวสังเกตอาการอยู่ที่บ้าน อย่างน้อยๆ 2 สัปดาห์ หรือตามแพทย์แนะนำ ซึ่งระหว่างแยกตัว ควรวัดไข้ เมื่อมีไข้ควรรีบพบแพทย์
ที่ผ่านมาไม่มียาสำหรับรักษาโรคฝีดาษ การรักษาหลักคือการรักษาประคับ ประคองตามอาการเท่านั้น ได้แก่ การให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด การให้สารน้ำทดแทน ปัจจุบันมีการทดลองในห้องปฏิบัติการ และพบว่ายา Cidofovir สามารถทำให้เชื้อฝี ดาษตายได้ แต่องค์การอาหารและยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา หรือเอฟดีเอ (FDA, Food and Drug Administration) ยังไม่ยอมรับให้ใช้ในคน และยังมียาตัวอื่นๆอีกหลายตัวที่กำลังอยู่ในขั้นทดลองศึกษา
ในสมัยก่อน การป้องกันโรคฝีดาษ ทำได้โดยการฉีดวัคซีน หรือที่เรียกกันว่าการปลูกฝี วัคซีนทำมาจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในสายพันธุ์เดียวกันกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคฝีดาษ การฉีดวัคซีนอาจไม่ได้ช่วยป้องกันโรคได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเกิดการติดเชื้อขึ้นมา โรคจะไม่รุนแรง อัตราการเสียชีวิตจะน้อยกว่าผู้ที่ไม่เคยรับวัคซีนมาก่อน ทั้งนี้โอกาสที่จะเป็นโรคมากน้อยแค่ไหนนั้น ขึ้นกับว่าได้รับวัคซีนครั้งสุดท้ายมานานเท่าไหร่แล้ว เนื่องจากภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีนจะค่อยๆลดลงตามกาลเวลา ในสมัยก่อนก็จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นทุกๆ 10 ปี
การฉีดวัคซีน ทำโดยนำเข็มแบบที่มี 2 ง่าม ไม่มีรู แตะน้ำยาวัคซีน และแทงเข้าไปที่ชั้นผิวหนังบริเวณต้นแขน ต่อมาผิวหนังบริเวณนี้จะกลายเป็นตุ่มหนองและตกสะเก็ดคล้ายกับคนเป็นโรคฝีดาษ และกลายเป็นแผลเป็นชนิดบุ๋มไปในที่สุด ซึ่งเราจะสังเกตุเห็นแผลเป็นบริเวณต้นแขนได้จากคนในสมัยก่อนที่เคยฉีดวัคซีนนั่นเอง การฉีดวัคซีนอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ได้แก่ การลุกลามของตุ่มหนองไปยังบริเวณใกล้เคียง เช่น ใบหน้า จมูก เปลือกตา ซึ่งถ้าโดนเยื่อบุตาสมองอักเสบ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่รุนแรง มีอัตราการเสียชีวิตโดยเฉลี่ย คือ ผู้ที่ได้รับวัคซีน 1 ล้านคน มีโอกาสเสียชีวิตได้ 1 คน ดังนั้น เมื่อกวาดล้างโรคฝีดาษให้หมดไปได้แล้ว องค์การอนามัยโลกจึงได้ประกาศให้หยุดการฉีดวัคซีน เนื่องจากไม่คุ้มกับผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น แต่การฉีดวัคซีนยังคงดำเนินอยู่กับนักวิทยา ศาสตร์ และบุคคลต่างๆที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับเชื้อชนิดนี้ โดยวัคซีนที่ใช้ในปัจจุบันเป็นชนิดที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่วัคซีนแบบที่เคยใช้ในสมัยก่อน โดยจะมีผลข้างเคียงที่น้อยกว่า ก็อาจทำให้ตาบอดได้ หรือในกรณีที่รุนแรง ตุ่มหนองอาจลุกลามทั่วตัว นอกจากนี้อาจทำให้เกิดภาวะ/โรค
ปัจจุบัน เชื้อฝีดาษในคน ยังคงถูกเก็บไว้ที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Center for Diseases Control and Prevention หรือ CDC) ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลขององค์การอนามัยโลกที่เมืองแอตแลนตา ประเทศสหรัฐอเมริกา และในประเทศรัสเซีย การที่ยังไม่ได้กำจัดเชื้อฝีดาษสองชุดสุดท้ายนี้ให้หมดไปจากโลก เพราะนัก วิทยาศาสตร์มีความเห็นแตกแยกเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่ต้องการกำจัดฝีดาษให้หมดโลก ซึ่งให้เหตุผลว่าเพื่อไม่ให้โรคร้ายนี้ระบาดอีกต่อไป ส่วนฝ่ายที่ต้องการเก็บรัก ษาเชื้อก็ให้เหตุผลว่า การฆ่าเชื้อฝีดาษตัวสุดท้ายจะเป็นการฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นอย่างจงใจให้สูญพันธุ์ ซึ่งเราไม่มีสิทธิ์ และโดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 องค์การอนามัยโลกจึงได้ลงมติให้ทั้งอเมริกาและรัสเซียเก็บเชื้อฝีดาษให้นักวิทยาศาสตร์วิจัยต่อ เพราะเกรงว่าถ้าผู้ก่อการร้ายใช้เชื้อฝีดาษ (ที่สังเคราะห์ได้) เป็นอาวุธชีวภาพ มนุษยชาติจะเป็นอันตราย ดังนั้นการมีเชื้อฝีดาษไว้เพื่อพัฒนาวัคซีนป้องกัน จึงเป็นเรื่องจำเป็น และในขณะนี้ประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีวัคซีนเก็บไว้เพียงพอที่จะฉีดให้กับประชาชนชาวอเมริกันทุกคนในกรณีที่เกิดเหตุ การณ์ไม่ปกติขึ้นมา