ปวดท้อง (Abdominal pain)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ

ปวดท้อง (Abdominal pain หรือ Stomach pain หรือ Stomach ache) ได้แก่ อาการปวดที่เกิดขึ้นในบริเวณช่องท้องส่วนใดก็ได้ เป็นอาการพบบ่อยมากอาการหนึ่ง พบบ่อยในทุกอายุ และทุกเพศ เพศหญิงและเพศชายมีโอกาสเกิดเท่าๆกัน โดยทั่วไปเป็นอาการไม่รุนแรง มักดูแลรักษาตนเองได้ และ ‘ปวดท้อง เป็นอาการ ใช่โรค’

ในสหรัฐอเมริกา พบผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดท้อง คิดเป็นประมาณ 3% ของผู้ป่วยที่มาพบแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว และเป็นประมาณ 18% ของผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ที่หน่วยฉุกเฉิน

อนึ่ง ช่องท้อง เป็นที่อยู่ของอวัยวะมากมายหลากหลายอวัยวะ ที่เป็นสาเหตุให้เกิดการปวดท้อง ที่พบเป็นสาเหตุได้บ่อยมักเกิดจาก กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ หลอดเลือด และอวัยวะเพศ เช่น มดลูก และรังไข่

ปวดท้องมีสาเหตุจากอะไร?

ปวดท้อง

สาเหตุของอาการปวดท้องอาจเกิดได้ทั้งจากโรคของอวัยวะต่างๆในช่องท้อง หรือ โรคของอวัยวะนอกช่องท้อง

ก. ปวดท้องสาเหตุจากอวัยวะในช่องท้อง ที่พบบ่อย คือ

  • อาหารไม่ย่อย หรือ มีก๊าซ/แก๊ส/ลม ในกระเพาะอาหาร และลำไส้
  • โรคกระเพาะอาหารอักเสบ หรือ โรคแผลในกระเพาะอาหาร
  • โรคกรดไหลย้อน (โรคกรดไหลกลับ)
  • ท้องเสีย
  • ท้องผูก
  • การอักเสบ ทั้งชนิดติดเชื้อและชนิดไม่ติดเชื้อ เช่น จากไส้ติ่งอักเสบ หรือ ลำไส้ใหญ่อักเสบ
  • โรคนิ่ว เช่น นิ่วในถุงน้ำดี หรือ นิ่วในไต หรือ นิ่วในท่อไต
  • ตับอักเสบ เช่น จาก โรคไวรัสตับอักเสบ
  • ตับอ่อนอักเสบ
  • โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบกระเพาะอาหาร หรือ ลำไส้อุดตัน
  • ท่อเลือดแดงใหญ่ส่วนช่องท้องโป่งพอง (Abdominal aorta aneurysm)
  • ปวดประจำเดือน หรือ มดลูกอักเสบ หรือ ปีกมดลูกอักเสบ หรือ การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
  • โรคมะเร็งของอวัยวะในช่องท้อง เช่น โรคมะเร็งตับ โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และโรคมะเร็งปากมดลูก
  • บ่อยครั้งไม่ทราบสาเหตุ เพราะมีอาการไม่มาก ผู้ป่วยจึงดูแลรักษาตนเองที่บ้าน ไม่ได้มาโรงพยาบาลจึงไม่ทราบสาเหตุ หรือ เมื่อมาโรงพยาบาลแพทย์เพียงให้ยาบรรเทาตามอาการ อาการปวดท้องก็ดีขึ้น จึงไม่มีการตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการ

ข. ปวดท้องสาเหตุจากอวัยวะนอกช่องท้อง เรียกว่า อาการปวดที่ปวดร้าวมาจากอวัยวะอื่นๆ (Referred pain) ที่พบบ่อย คือ

  • จากโรคหลอดเลือดหัวใจ หรือ จากโรคปอดบวม ซึ่งส่งผลให้มีอาการเจ็บหน้าอก ซึ่งบางคนอาจมีปวดเจ็บ แน่นท้อง ร่วมด้วย
  • หรือจากโรคกล้ามเนื้อของผนังช่องท้อง เช่น จากหน้าท้องถูกกระแทก

แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุปวดท้องได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุอาการปวดท้องได้จาก

  • การสอบถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น ประวัติลักษณะอาการปวด, ตำแหน่งที่เกิดอาการ, อาการร่วมอื่นๆ ร่วมกับ
  • การตรวจร่างกาย
  • และอาจมีการตรวจสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับอาการของผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์ เช่น
    • การตรวจเลือดซีบีซี(CBC) เพื่อดูการอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย
    • การตรวจภาพช่องท้องด้วยเอกซเรย์ธรรมดา หรือ อัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
    • การส่องกล้องตรวจอวัยวะในช่องท้อง
    • และอาจมีการตัดชิ้นเนื้อจากเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ เพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา

ก. วินิจฉัยจากลักษณะอาการปวดท้อง: เช่น

  • เมื่อปวดแบบปวดบิด เป็นพักๆ มักเกิดจากโรคของอวัยวะที่มีลักษณะเป็นท่อ เช่น ลำไส้ หรือ ท่อไต
  • เมื่อปวดเป็นพักๆ ปวดแน่น อาการหายไปเมื่อผายลม หรือ เรอ หรืออาการปวดเคลื่อนที่ได้ มักเกิดจากการมีก๊าซในกระเพาะอาหาร และ/หรือ ลำไส้
  • เมื่อปวดแสบ ใต้ลิ้นปี่ และอาการปวดดีขึ้นเมื่อกินอาหาร หรือ อาการปวดสัมพันธ์กับการกินอาหาร มักเกิดจากโรคของกระเพาะอาหาร หรือ โรคกระเพาะอาหารอักเสบ หรือ โรคแผลในกระเพาะอาหาร
  • อาการปวดร้าว เช่น ปวดร้าวขึ้นอก หรือ ขึ้นในบริเวณกระดูกกราม แพทย์มักนึกถึงโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • เมื่อปวดเฉพาะจุด หรือ กดเจ็บเฉพาะจุด มักเกิดจากการอักเสบของอวัยวะในตำแหน่งนั้น เช่น โรคตับอักเสบหรือ โรคไส้ติ่งอักเสบ
  • เมื่อปวดท้องเหนือกระดูกหัวหน่าว ปวดเบ่งปัสสาวะ หรือปวดแสบเมื่อสุดปัสสาวะ มักเกิดจากโรคของกระเพาะปัสสาวะ โดยเฉพาะ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
  • เมื่อปวดเบ่งอุจจาระ มักเกิดจากโรคของลำไส้ใหญ่ เช่น ลำไส้ใหญ่อักเสบ หรือ ท้องเสีย

ข. วินิจฉัยจากตำแหน่งที่ปวดท้อง:

โดยทั่วไปมักแบ่งตำแหน่งของช่องท้องได้เป็น 7 ส่วน คือ

  • เมื่อใช้สะดือเป็นจุดศูนย์กลาง จะแบ่งช่องท้องเป็น
    • ช่องท้องส่วนบน(ส่วนอยู่เหนือสะดือ)
    • และช่องท้องส่วนล่าง (ส่วนอยู่ต่ำกว่าสะดือ)
  • ซึ่งเมื่อร่วมกับการแบ่งช่องท้องตามยาว จากเส้นสมมุติกลางลำตัว ที่จะแบ่งช่องท้อง เป็น
    • ซีกซ้าย
    • และซีกขวา

ดังนั้นเมื่อร่วมการแบ่งด้วย สะดือ และเส้นแบ่งกลางลำตัวเข้าด้วยกัน ช่องท้องจะแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ

  • ส่วนด้านซ้ายตอนบน
  • ส่วนด้านซ้ายตอนล่าง
  • ส่วนด้านขวาตอนบน
  • และส่วนด้านขวาตอนล่าง

และแบ่งเพิ่มอีก 3 ส่วน (รวมเป็น7ส่วน) คือ

  • ส่วน หรือ บริเวณ ใต้ลิ้นปี่ หรือ ยอดอก (Epigastrium)
  • บริเวณรอบสะดือ
  • และบริเวณเหนือกระดูกหัวหน่าว (กระดูกตรงกลางด้านหน้า และอยู่ล่างสุดชองช่องท้อง)

ดังนั้น เมื่อมีอาการปวดท้องในตำแหน่งเหล่านี้ มักเป็นตัวชี้นำว่า น่ามีโรคของอวัยวะต่างๆที่อยู่ในตำแหน่งเหล่านี้

  • เมื่อปวดท้องด้านซ้ายตอนบน (อวัยวะที่อยู่ในช่องท้องส่วนนี้ คือ กระเพาะอาหาร ม้าม ลำไส้ ตับอ่อน และไตซ้าย) โรคที่เป็นสาเหตุ อาจเป็น
    • กระเพาะอาหาร
    • ม้าม
    • ลำไส้ที่อยู่ในส่วนด้านซ้ายตอนบน
    • ตับอ่อน (ซึ่งอาการปวดมักร้าวไปด้านหลัง เพราะตับอ่อนอยู่ติดทางด้านหลัง)
    • และไตซ้าย
    • ตัวอย่างโรคที่มักพบเกิดจากปวดท้องด้านซ้ายตอนบน คือ
      • กระเพาะอาหารอักเสบ
      • การบาดเจ็บของม้ามจากถูกกระแทก
      • ตับอ่อนอักเสบ
      • ลำไส้อักเสบ
      • ไตอักเสบ หรือ
      • นิ่วในไต ข้างซ้าย
  • เมื่อปวดท้องด้านซ้ายตอนล่าง (อวัยวะที่อยู่ในช่องท้องส่วนนี้ คือ ลำไส้ และในผู้หญิง จะมีปีกมดลูกซ้าย และรังไข่ซ้าย) โรคที่เป็นสาเหตุ อาจเกิดจากโรคของ
    • ลำไส้ในส่วนด้านซ้ายตอนล่าง
    • ปีกมดลูก และรังไข่ซ้าย
    • ตัวอย่างโรคที่มักมีอาการปวดท้องด้านซ้ายตอนล่าง เช่น
      • ลำไส้อักเสบ
      • ปีกมดลูก หรือ รังไข่ ด้านซ้ายอักเสบ
  • เมื่อปวดท้องด้านขวาตอนบน โรคอาจเกิดจาก
    • ตับ เช่น ตับอักเสบ
    • ท่อน้ำดี ถุงน้ำดี เช่น ถุงน้ำดีอักเสบ
    • ลำไส้ส่วนที่อยู่ในช่องท้องด้านขวาตอนบน เช่น ลำไส้อักเสบ
    • และไตขวา เช่น นิ่วในไตขวา
  • เมื่อปวดท้องด้านขวาตอนล่าง โรคอาจเกิดจาก
    • ไส้ติ่ง เช่น ไส้ติ่งอักเสบ
    • ลำไส้ส่วนด้านขวาตอนล่าง เช่น ลำไส้อักเสบ
    • ปีกมดลูกขวา เช่น ปีกมดลูกอักเสบด้านขวา
    • หรือ รังไข่ขวา เช่น รังไข่บิดขั้วข้างขวา
  • เมื่อปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ มักเกิดจากโรคกระเพาะอาหาร เช่น แผลเปบติค
  • เมื่อปวดรอบๆสะดือ มักเกิดจากโรคของไส้ติ่ง เช่น ไส้ติ่งอักเสบ
  • เมื่อปวดบริเวณเหนือ หัวหน่าว มักเกิดจากโรคของกระเพาะปัสสาวะ (เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ) หรือ ของมดลูก(เช่น เยื่อบุมดลูกอักเสบ)
  • *เมื่อปวดท้องแบบกระจายทั่วท้อง ตำแหน่งปวดเคลื่อนที่ได้ ไม่มีจุด/ตำแหน่งปวดเฉพาะที่แน่นอน/ชัดเจน
    • กรณีอาการปวดไม่รุนแรง และไม่มีอาการอื่นๆร่วมด้วย อาการมักเกิดจากการระคายเคืองของกระเพาะอาหารและลำไส้จากสิ่งที่เราบริโภค เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ยา หรือ จากการบีบตัวของกระเพาะอาหาร/ลำไส้ เช่น ในการขับแก๊สที่เกิดในทางเดินอาหาร อาการมักหายได้เอง
    • กรณีอาการปวดรุนแรง และ/หรือมีอาการอื่นๆร่วมด้วย(ดังจะกล่าวต่อไปในข้อ ค.) ถ้าดูแลตนเองแล้วอาการไม่ดีขึ้นใน2-3วัน หรืออาการเลวลง หรืออาการปวดรุนแรงตั้งแต่แรก ควรรีบไปโรงพยาบาล ไม่ต้องรอเวลา

ค. วินิจฉัยจากอาการร่วมอื่นๆ: อาการปวดท้องอาจเกิดร่วมกับอาการอื่นๆได้ ที่พบบ่อย คือ

  • คลื่นไส้ อาเจียน มักเกิดจากโรคของ ลำไส้ หรือ ตับ หรือ ลำไส้อุดตัน
  • อาการไข้ มักเกิดจากมีการอักเสบ เช่น โรคไส้ติ่งอักเสบ
  • อาเจียนเป็นเลือด มักเกิดจากโรคของกระเพาะอาหาร เช่น โรคแผลในกระเพาะอาหาร
  • ไม่ผายลม มักเกิดจากลำไส้อุดตัน เช่น จากท้องผูกมาก หรือ มีก้อนเนื้ออุดตันในลำไส้
  • อุจจาระเป็นเลือด มักเกิดจากโรคของลำไส้ใหญ่ด้านซ้ายล่าง เช่น มีแผล อักเสบ
  • อุจจาระดำเหมือนยางมะตอย มักเกิดจากโรคแผลในกระเพาะอาหาร
  • การคลำได้ก้อนเนื้อ มักเกิดจากโรคมะเร็ง หรือโรคเนื้องอกรังไข่
  • ร่วมกับมีอาการทางปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด ปวดเบ่งปัสสาวะ มักเกิดจากโรคของกระเพาะปัสสาวะ หรือไตหรือ ต่อมลูกหมาก เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไตอักเสบ หรือ นิ่วในไต
  • เมื่อปวดร้าวไปด้านหลัง อาจเป็นโรคของ ตับอ่อน หรือ ไต หรือ ท่อไต เช่น ตับอ่อนอักเสบ นิ่วในไต หรือ นิ่วในท่อไต
  • ตัว ตาเหลือง อาจเป็นโรคของ ตับ ท่อน้ำดี ถุงน้ำดี เช่น โรคไวรัสตับอักเสบ โรคถุงน้ำดีอักเสบ
  • มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ หรือ ตกขาว มักเกิดจากโรคของอวัยวะสืบพันธุ์สตรี เช่น โรคของ ช่องคลอด ปากมดลูก ปีกมดลูก และมดลูก เช่น ภาวะช่องคลอดอักเสบ ปากมดลูกอักเสบ หรือ มะเร็งปากมดลูก

รักษาอาการปวดท้องได้อย่างไร?

แนวทางการรักษาอาการปวดท้อง ได้แก่

ก. รักษาตามสาเหตุ: ซึ่งมีได้ตั้งแต่ ไม่ต้องกินยาใดๆ เพียงพักผ่อน อาการก็หายเองได้ หรือเป็นไปตามแต่ละสาเหตุ เช่น

  • การใช้ยาปฏิชีวนะ กรณีสาเหตุโรคติดเชื้อทางเดินอาหาร
  • การผ่าตัด เช่น กรณี ไส้ติ่งอักเสบ หรือ นิ่วในถุงน้ำดี
  • หรือ การรักษาด้วยการผ่าตัดร่วมกับรังสีรักษาและ/หรือยาเคมีบำบัด เมื่อเกิดจากโรคมะเร็ง

ข. และการรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น

  • กินอาหารอ่อน หรือ อาหารเหลว/อาหารน้ำช่วงมีอาการ (แนะนำอ่านเพิ่มเติมใน ประเภทอาหารทางการแพทย์)
  • ยาแก้ปวดท้อง
  • ยาเคลือบกระเพาะอาหาร
  • ยาลดกรด
  • ยาขับลม

อาการปวดท้องรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?

ความรุนแรง/การพยากรณ์โรคของอาการปวดท้องขึ้นกับสาเหตุ เช่น

  • ไม่รุนแรงเมื่อเกิดจาก อาการท้องผูก โรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคแผลในกระเพาะอาหาร
  • แต่โรครุนแรงเมื่อเกิดจาก ไส้ติ่งอักเสบ หรือ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ของอาการปวดท้อง เป็นอาการไม่รุนแรง ดูแลรักษาอาการด้วยตนเองที่บ้านได้ และโดยทั่วไป มักมีสาเหตุจากโรคที่ไม่รุนแรง สามารถรักษาได้หาย

*อนึ่ง ในส่วนผลข้างเคียงจากอาการปวดท้อง จะเป็นผลข้างเคียงจากสาเหตุที่ทำให้ปวดท้อง ซึ่งจะแตกต่างกันในแต่ละสาเหตุ แนะนำอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในแต่ละโรค/ภาวะที่เป็นสาเหตุในเว็บ haamor.com

ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?ควรพบแพทย์ฉุกเฉินเมื่อไหร่?

การดูแลตนเองเมื่อมีอาการปวดท้อง และการพบแพทย์/มาโรงพยาบาล คือ

  • พักผ่อน
  • ลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลง กินเฉพาะอาหารอ่อน หรือ อาหารเหลว อาหารน้ำ รสจืด (อ่านเพิ่มเติมใน ประเภทอาหารทางการแพทย์)
  • เมื่ออาการปวดท้องสัมพันธ์กับอาหาร อาจกินยาลดกรด หรือ ยาเคลือบกระเพาะ
  • กินยาแก้ปวดพาราเซตามอล (Paracetamol) หลีกเลี่ยงยาแก้ปวดในกลุ่มเอนเสดส์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโปรเฟน(Ibuprofen) เพราะเป็นกลุ่มยาที่มีผลข้างเคียงก่อการอักเสบของเยื่อเมือกบุกระเพาะอาหาร จึงอาจยิ่งเพิ่มอาการปวดท้อง
  • ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเมื่อปวดท้องร่วมกับ
    • แน่นอึดอัดท้อง ต่อเนื่องประมาณ 1 สัปดาห์
    • ท้องอืด ท้องเฟ้อ และผอมลง
    • มีภาวะซีดร่วมด้วย เพราะอาจจากมีเลือดออกครั้งละน้อยๆจนสังเกตไม่เห็น จากมีแผลเรื้อรังในกระเพาะอาหารหรือ ในลำไส้
    • ปวดท้องต่อเนื่อง อาการไม่ดีขึ้นภายใน 1-2 วัน
    • คลื่นไส้ อาเจียน และ/หรือ ไม่ผายลม ไม่ถ่ายอุจจาระ/ท้องผูก
    • ท้องเสีย ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วันหลังดูแลตนเอง
    • มีไข้ร่วมด้วย และอาการไข้ และอาการปวดท้องไม่ดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง
    • ปัสสาวะมีเลือดปน (อ่านเพิ่มเติมใน ปัสสาวะเป็นเลือด) หรือ แสบขัด หรือ มีคล้ายเม็ดทราย หลุดปนมาด้วย
    • อุจจาระมีเลือดปนบ่อย (อ่านเพิ่มเติมใน อุจจาระเป็นเลือด)
    • ปวดประจำเดือนมากจนมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
    • เมื่ออาการปวดท้องไม่ดีขึ้น หรือ อาการปวดท้องเลวลงหลังดูแลตนเอง
    • เมื่อกังวลในอาการปวดท้อง
  • ควรพบแพทย์ฉุกเฉินเมื่อปวดท้องร่วมกับ
    • เพิ่งได้รับอุบัติเหตุที่ช่องท้อง
    • มีไข้ (ได้ทั้งไข้ต่ำ หรือ ไข้สูง)โดยเฉพาะเมื่อปวด/เจ็บท้องเพียงจุดเดียว อาจร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน
    • คลื่นไส้ อาเจียน ร่วมกับ ไม่ผายลม และ/หรือ ท้องผูก
    • อาเจียนเป็นเลือด
    • อุจจาระเป็นเลือด
    • ปวดท้องมากไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 ชั่วโมง
    • มีท้องแข็ง กดเจ็บมาก อาจเพียงตำแหน่งเดียว หรือ ทั่วทั้งช่องท้อง
    • ปวดแน่นหน้าอก ร้าวไปแขน และ/หรือ กระดูกกราม ซึ่งมักเป็นอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ

ป้องกันอาการปวดท้องได้อย่างไร?

วิธีป้องกันอาการปวดท้อง คือ

  • หลีกเลี่ยง หรือ ป้องกันสาเหตุที่ป้องกันได้ ที่ทำให้เกิดอาการ ดังกล่าวแล้วใน ’หัวข้อ สาเหตุฯ’ เช่น ป้องกันโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ท้องผูก ท้องเสีย
  • ป้องกัน ลดโอกาสติดเชื้อต่างๆของทางระบบเดินอาหาร/ โรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร ด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ย่อยยาก อาหารไขมันสูง เครื่องดื่มต่างๆที่เพิ่มก๊าซ/แก๊ส/ลมในกระเพาะอาหาร และลำไส้
  • เลิกบุหรี่ ไม่สูบบุหรี่ เพราะเป็นสาเหตุเพิ่ม กรดในกระเพาะอาหาร
  • เลิก หรือ จำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นสาเหตุของโรคกระเพาะอาหารอักเสบ
  • รักษา และควบคุมโรคที่อาจเป็นสาเหตุ

บรรณานุกรม

  1. Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  2. Cartwright, S., and Knudson, M. (2008). Evaluation of acute abdominal pain in adults. Am Fam Physician. 77, 971-978.
  3. Wallander.,M. et al. (2007). Unspecified Abdominal Pain in Primary Care: The Role of Gastrointestinal Morbidity. Int J Clin Pract. 61,1663-1670.
  4. https://en.wikipedia.org/wiki/Abdominal_pain [2019,April6]