บอกเล่าเก้าสิบ ตอนที่ 11: เมื่อพยาบาลเป็นไมเกรน

บอกเล่าเก้าสิบ

ปวดศีรษะไมเกรน เป็นโรคที่พบบ่อยมาก เป็นได้ทุกเพศทุกวัยและทุกอาชีพ ยิ่งเป็นอาชีพที่มีความเครียดสูง อดนอนเป็นประจำยิ่งมีโอกาสเป็นโรคปวดศีรษะไมเกรนได้สูง เช่น พยาบาล ผมมีโอกาสรักษาพยาบาลที่เป็นปวดศีรษะไมเกรนหลายต่อหลายคน ต้องบอกได้เลยว่าเป็นผู้ป่วยที่รักษายากมา เพราะอะไรลองติดตามอ่านเรื่องราวต่อไปนี้

“อาจารย์คะพี่เป็นพยาบาลอยู่หอผู้ป่วยอายุรกรรมหญิงนะค่ะ พี่มีอาการปวดศรีษะไมเกรนที่ทรมานมากๆ เลย พี่มีอาการตั้งแต่เป็นนักศึกษาพยาบาลแล้วค่ะ หายไปช่วงหนึ่ง แต่พอช่วง 5 ปี หลังนี้พี่ต้องเป็นหัวหน้าหอผู้ป่วย งานรับผิดชอบเยอะมาก มีแต่ประชุมตลอดเวลา รับผิดชอบในทุกเรื่อง ทั้งงานบริการ บริหาร และงานความเสี่ยงด้วย พี่ปวดศีรษะมากเลย ช่วงแรกทานยาคาร์เฟอก็อต 1 เม็ดก็หายปวด ต่อมาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เม็ด, 3 เม็ด ช่วงนี้ต้องทานคาร์เฟอก็อตและทามอล บางวันต้องไปฉีดยามอร์ฟีนที่แผนกฉุกเฉินด้วย กลางคืนก็แทบไม่ได้นอนเลย นอนไม่หลับทรมานมาก เช้าก็ต้องตื่นแต่เช้า รีบมาดูแลหอผู้ป่วย แก้ปัญหาที่มี คุยกับน้องๆ ที่หอผู้ป่วยเสร็จ ก็ต้องรีบไปประชุม ตอนนี้ทนไม่ไหวจริงๆ จึงต้องมาให้อาจารย์ช่วยด้วยค่ะ”

ผมฟังที่พี่พยาบาลเล่าให้ฟังแล้วเข้าใจเลยครับว่างานนั้นยุ่งขนาดไหน เพราะผมเองก็เป็นแบบพี่พยาบาล เช้าก็ต้องรีบมาดูแลรักษาผู้ป่วยในหอผู้ป่วยช่วง 8-9 โมงเช้า รีบออกตรวจผู้ป่วยที่ห้องตรวจแผนกผู้ป่วยนอกถึงเที่ยง ก็ต้องรีบมาประชุมและทานข้าวกลางวันพร้อมกับประชุม บ่ายก็มีงานต่อเนื่องจน 6 โมงเย็นเกือบทุกวัน แต่ผมโชคดีที่ไม่ปวดหัวเลย ถ้าปวดหัวแบบพี่พยาบาลก็คงจะแย่แน่ๆ

อาการที่พี่พยาบาลเล่ามานั้น ก็คือปวดศีรษะไมเกรน เป็นๆ หายๆ ต่อมาเป็นปวดศีรษะทุกวัน และก็เกิดภาวะปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกินขนาดต้องใช้ยามากขึ้น มากขึ้น แต่อาการก็ยิ่งแย่ลง ยิ่งอดนอน นอนไม่หลับ เครียด ไม่ได้พักผ่อน อาการก็ยิ่งแย่ลง ยิ่งแย่มากขึ้น สิ่งแรกที่ผมบอกพี่พยาบาล คือ ต้องพยายามนอนให้หลับก่อน พร้อมกับหยุดยาแก้ปวดที่ใช้ ผมจึงให้ยาเพื่อทำให้หลับและแก้ปวดศีรษะด้วยยาเพ็ดนิโซโลน ให้ยาป้องกันการเป็นซ้ำของไมเกรน ผลการรักษาได้ผลดีมากครับ ประมาณ 1 เดือน พี่พยาบาลก็หายดี

“อาจารย์คะ พี่เหมือนเกิดใหม่เลยค่ะ พี่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาหลายปีแล้ว กลับก็สนิท เช้าก็สบายดี ทำงานได้ด้วย พี่ต้องขอบคุณอาจารย์อย่างมาก”

ผมบอกพี่พยาบาลว่า ผมอยากให้พี่ผ่อนคลายครับ ชีวิตเรานั้น สุขภาพสำคัญที่สุด ควรผ่อนคลาย มอบหมายงานให้คนอื่นๆ ช่วยด้วย เพราะถ้าพี่ไม่ปรับพฤติกรรม ไม่ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน พี่ก็อาจกลับมาเป็นใหม่ได้ เราไม่ควรคิดว่าถ้าเราไม่อยู่ เราไม่ทำแล้วใครจะทำ เพราะจริงแล้วผมเชื่อว่ามีคนอื่นๆ ที่สามารถทำงานเหล่านั้นแทนเราได้ ต้องคิดว่าถ้าเราตายไปจริงๆ ก็มีคนทำแทนเราได้ ดังนั้น สำคัญที่สุด คือ การปรับเปลี่ยนความคิด ปรับพฤติกรรม ก็จะสามารถปรับเปลี่ยนชีวิตเราได้