ชักเพราะ “ลมบ้าหมู” (ตอนที่ 3)
- โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
- 4 กันยายน 2558
- Tweet
กรณีที่พบว่าเป็นโรคลมชัก ควรรีบรักษาทันทีทันใด ซึ่งมีประมาณร้อยละ 70 ที่สามารถรักษาด้วยการกินยาและผ่าตัด ซึ่งการรักษาโรคลมชักแพทย์มักเริ่มด้วยการให้ยา หากไม่ได้ผลอาจใช้วิธีผ่าตัดหรือวิธีอื่น
การให้ยากันชัก (Anti-epileptic medication) ต้องพิจารณาถึงหลายปัจจัย เช่น ความถี่ในการชัก อายุ และการทำปฏิกริยา (Interact) กับยาอื่นด้วย ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคลมชักสามารถหยุดยาได้ภายหลัง 2 ปีขึ้นไปหากไม่มีอาการชักอีก
ทั้งนี้ยากันชักอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงอย่างอ่อนๆ ได้ดังนี้
- เหนื่อยล้า (Fatigue)
- เวียนศีรษะ (Dizziness)
- น้ำหนักตัวเพิ่ม
- ความหนาแน่นในกระดูกลดลง
- ผิวหนังเป็นผื่นคัน ปัญหาเรื่องการใช้กล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหว (Loss of coordination)
- ปัญหาในการพูด (Speech problems)
- ปัญหาเรื่องความจำและความคิด (Memory and thinking problems)
กรณีผลข้างเคียงที่รุนแรง (แต่ไม่ค่อยพบ) ได้แก่
- หดหู่ซึมเศร้า (Depression)
- อยากฆ่าตัวตาย
- เป็นผื่นคันอย่างรุนแรง
- อวัยวะอักเสบ เช่น ตับอักเสบ
ดังนั้นเพื่อควบคุมการชักให้ได้ผล ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
- กินยาตามแพทย์สั่ง
- ปรึกษาแพทย์ก่อนทำการเปลี่ยนยาหรือใช้ยาอื่น
- ห้ามหยุดยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์
- แจ้งให้แพทย์ทราบทันทีหากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับอารมณ์หรือพฤติกรรม เช่น หดหู่ซึมเศร้า อยากฆ่าตัวตาย เป็นต้น
- แจ้งให้แพทย์ทราบหากเป็นโรคไมเกรน เพราะแพทย์อาจสั่งยากันชักชนิดที่รักษาไมเกรนได้ด้วย
การผ่าตัดเป็นสิ่งที่นิยมทำเมื่อผลตรวจระบุว่าต้นเหตุของการชักอยู่ในบริเวณสมองส่วนที่ไม่สำคัญ (ไม่ใช่สมองส่วนที่ควบคุม การพูด ภาษา การเคลื่อนไหว การเห็น หรือการได้ยิน) และแพทย์จะทำการผ่าสมองส่วนนั้นออก
แหล่งข้อมูล
- Epilepsy. http://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/epilepsy/home/ovc-20117206 [2015, September 3].
- NINDS Epilepsy Information Page. http://www.ninds.nih.gov/disorders/epilepsy/epilepsy.htm [2015, September 3].