คิดให้ดีก่อนอยากขาว (ตอนที่ 2)
- โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
- 2 ธันวาคม 2560
- Tweet
กลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นสารที่ประกอบอยู่ในเซลล์ของร่างกาย เกิดจากกรดอะมิโน 3 ชนิดยึดเกาะกัน คือ ซีสตีอีน (Cysteine) กลูตาเมท (Glutamate) และไกลซีน (Glycine) และเป็นสารที่สามารถพบได้ในผลไม้สด ผักสด และเนื้อสัตว์
กลูตาไธโอน ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ช่วยในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งมีทั้งสารพิษที่ร่างกายสร้างขึ้นเองหรือที่เกิดจากมลภาวะหรือยา
เมื่ออายุมากขึ้น การสร้างกลูตาไธโอนจะลดลง เป็นผลทำให้ร่างกายมีสุขภาพแย่ลง นอกจากนี้ปริมาณกลูตาไธโอนอาจลดลงได้ในกรณีที่เป็นโรคดังต่อไปนี้
- โรคมะเร็ง (Cancer)
- ติดเชื้อเฮชไอวี/เอดส์ (HIV/AIDS)
- โรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 diabetes)
- โรคตับอักเสบ (Hepatitis)
- โรคพาร์คินสัน (Parkinson's disease)
ในทางการแพทย์พบว่ามีการนำกลูตาไธโอนมาทดลองใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งยังไม่ได้รับการอนุมัติข้อบ่งใช้จากองค์การอาหารและยา (FDA) อย่างชัดเจน โดยงานวิจัยได้กล่าวถึงกลูตาไธโอนดังนี้
กรณีที่เป็นไปได้ (Possibly Effective) ได้แก่
- การฉีดเข้าทางหลอดเลือด (Intravenous) เพื่อลดผลข้างเคียงของการเคมีบำบัด (Chemotherapy) ที่ใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง
กรณีที่หลักฐานยังไม่เพียงพอ (Insufficient Evidence) ได้แก่
-การฉีดเข้าทางหลอดเลือด (Intravenous) เพื่อใช้รักษา
- โรคพาร์คินสัน
- โรคเบาหวาน
- ภาวะโลหิตจางในผู้ที่ฟอกไต
- โรคหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis).
- ภาวะเป็นหมันในเพศชาย
แหล่งข้อมูล:
- GLUTATHIONE. https://www.webmd.com/vitamins-supplements/ingredientmono-717-glutathione.aspx?activeingredientid=717 [2017, December 1].
- Glutathione.https://www.webmd.com/vitamins-and-supplements/glutathione-uses-risks [2017, December 1].