โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted disease)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์คืออะไร?

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือเรียกย่อว่า โรคเอสทีดี (Sexually transmitted disease /STD บางคนเรียกว่า Sexually transmitted infection หรือเรียกย่อว่า โรคเอสทีไอ/STI) คนไทยมักเรียกว่า กามโรค โรคบุรุษ หรือโรคผู้หญิง (Venereal disease หรือเรียกย่อว่า โรควีดี/ VD) คือโรคติดเชื้อที่เกิดจากการสัมผัสทางเพศ เชื้อโรคจะติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งโดยผ่านทางเลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากช่องคลอด หรือสารคัดหลั่งจากส่วนอื่นๆของร่างกาย ในบางกรณี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาจติดต่อได้แม้จะไม่มีการสัมผัสทางเพศก็ตาม เช่น จากแม่สู่ทารก ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งในขณะที่ตั้งครรภ์และจากการคลอด หรืออาจติดเชื้อจากการได้รับเลือด หรือจากเข็มฉีดยาที่ใช้ร่วมกัน

การติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาจพบได้ แม้แต่ในกรณีที่มีสัมพันธ์ทางเพศกับบุคคลซึ่งแลดูมีสุขภาพดี ทั้งนี้เพราะผู้ที่เป็นโรคอาจไม่ปรากฏอาการให้เห็นอย่างชัดเจน

อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นอย่างไร?

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีหลากหลาย บางครั้งอาจไม่ปรากฏอาการให้เห็นจนกระทั่งมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นแล้วจึงรู้ว่าเป็นโรค หรือรู้ว่าตัวเองอาจติดโรคก็ต่อเมื่อคู่นอนได้รับการวินิจฉัยว่าติดโรคแล้ว

อาการที่อาจบ่งชี้ว่าติดโรคแล้ว มีดังต่อไปนี้ คือ อาการเจ็บ หรือมีก้อนบวม (Lump) หรือแผล ที่บริเวณปากและทวารหนัก ปัสสาวะแสบขัด มีน้ำหรือหนองออกมาจากอวัยวะเพศชาย หรือจากช่องคลอด มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด มีต่อมน้ำเหลืองบวม หรือมีอาการปวดที่บริเวณต่อมน้ำเหลือง โดยเฉพาะที่ขาหนีบ เป็นต้น

ภายหลังจากที่มีการสัมผัสโรค ระยะเวลาที่จะปรากฏอาการ (ระยะฟักตัวของโรค) หรือมีรอยโรคเกิดขึ้น อาจใช้เวลา 2-3 วันจนถึง 3 เดือน ในบางราย อาการหรือรอยโรคที่ปรากฏอาจหายได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์แม้จะไม่ได้รักษาก็ตาม อย่างไรก็ดี อาจมีการกลับเป็นซ้ำของโรคได้ โรคที่เคยหายไปอาจรุนแรงขึ้น และก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ในภายหลัง ดังนั้นเมื่อมีการสัมผัสทางเพศกับผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือมีอาการ หรือมีรอยโรคที่ชวนสง สัยว่าจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ นอกจากนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (การตรวจโรคในขณะยังไม่มีอาการ) ตั้งแต่แรกก่อนที่จะมีการสัมผัสทางเพศ และควรตรวจเป็นระยะๆตามแพทย์แนะนำ ถึงแม้จะมีคู่นอนเพียงคนเดียวก็ตาม ในกรณีมีคู่นอนหลายคน ควรตรวจโรคนี้ทุกครั้งก่อนและหลังมีคู่นอนคนใหม่ หรือตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันโรคติดต่อสู่ผู้อื่น และเพื่อการรักษาตัวเองแต่เนิ่นๆ

สาเหตุของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?

เชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีดังนี้

  • แบคทีเรีย ได้แก่ โกโนเรีย หรือหนองในแท้/โรคหนองใน, ซิฟิลิส /โรคซิฟิลิส, คลามัยเดีย (Chlamydia infection) หรือหนองในเทียม
  • พยาธิ ชนิด ทริโคโมแนส (Trichomonas vaginalis)
  • ไวรัส ได้แก่ เชื้อ Human papillomavirus/HPV/เอชพีวี, เชื้อเริม/เริมที่อวัยวะเพศ, เชื้อเอดส์/โรคเอดส์ หรือ Human immunodeficiency virus/HIV/เอชไอวี

อนึ่ง การมีกิจกรรมทางเพศเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดการติดโรค อย่างไรก็ตาม เชื้อโรคบางประเภทอาจติดเชื้อได้ถึงแม้จะไม่มีกิจกรรมทางเพศก็ตาม เช่น ไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ (ไวรัสตับอักเสบ เอ) และชนิดบี (ไวรัสตับอักเสบ บี) เป็นต้น ที่อาจติดต่อจากการให้เลือด หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน

ปัจจัยเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือการมีกิจกรรมทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ไม่ได้สวมใส่ถุงยางอนามัยชายชนิดลาเท็กซ์ (Latex condom) และการมีเพศ สัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือทางทวารหนัก กับผู้ที่เป็นโรคหรือผู้ติดเชื้อ มีข้อมูลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวกับผู้ชายที่มีเชื้อโกโนเรีย หรือหนองในแท้โดยไม่สวมใส่ถุงยาง จะมีโอกาสติดเชื้อประมาณ 70-80%

การสวมใส่ถุงยางอนามัยชายที่ไม่ถูกวิธี หรือมีการสวมใส่บ้างไม่สวมใส่บ้างนั้น เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรค นอกจากนี้ ความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว -ตามจำนวนของคู่นอน -ตามประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเมื่อเคยเป็นโรคชนิดหนึ่ง ก็จะทำให้ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกชนิดหนึ่งได้ง่ายขึ้น เช่น ถ้าคุณเป็นโรคเริม/โรคเริมที่อวัยวะเพศ, กามโรค/โรคซิฟิลิส, หนองในแท้/โรคหนองใน, หรือหนองในเทียม และมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อโรคเอดส์ หรือ เอชไอวี/HIV กรณีนี้คุณมีโอกาสที่จะติดเชื้อเอดส์เพิ่มสูงขึ้น

การติดสุรา และ/หรือยาเสพติด ทำให้ความสามารถในการตัดสินใจแย่ลง อันจะนำพาไป สู่การมีเพศสัม นธ์กับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศได้

การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่นอาจทำให้เกิดการติดเชื้อเหล่านี้ได้ เช่น ไวรัส HIV หรือไวรัสตับอักเสบ บี และเมื่อติดเชื้อแล้ว ก็สามารถแพร่กระจายเชื้อต่อโดยผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย

และในผู้หญิงวัยรุ่น ซึ่งเซลล์บริเวณปากมดลูกยังเจริญไม่เต็มที่ จึงมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ตลอดเวลา เซลล์ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จะไวต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้โดยง่าย

การติดเชื้อจากแม่ไปสู่ลูกนั้น พบได้ในการติดเชื้อหนองในแท้, หนองในเทียม, เริม และกามโรค โดยมีการติดเชื้อได้ทั้งในขณะตั้งครรภ์และในขณะคลอด ทารกที่ติดเชื้อจะมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นตามมาค่อนข้างมาก (เช่น เจริญเติบโตผิดปกติและพิการ) และอาจเสียชีวิตได้ ดัง นั้นสตรีที่ตั้งครรภ์จึงควรต้องได้รับการตรวจคัดกรอง และรักษาโรคต่างๆดังกล่าวข้างต้นอย่างเหมาะสม

ควรเตรียมตัวก่อนพบแพทย์อย่างไร?

การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์ คือ ควรทำการนัดหมายเพื่อพบแพทย์ จดบันทึกอาการต่าง ๆที่เกิดขึ้น ยาที่เคยใช้ และกำลังใช้อยู่ ตลอดจนคำถามที่ต้องการถามแพทย์

คำถามพื้นฐานที่ควรสอบถามแพทย์ ได้แก่

  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่คุณเป็น มีชื่อทางการแพทย์ว่าอะไร?
  • โรคดังกล่าวมีการติดต่ออย่างไร?
  • มีวิธีป้องกันที่จะไม่ให้ติดไปสู่ลูกได้อย่างไร?
  • หากมีการตั้งครรภ์ จะมีวิธีป้องกันไม่ให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อได้หรือไม่?
  • หากรักษาหายแล้วจะกลับมาเป็นอีกได้หรือไม่?
  • การมีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวจะทำให้ติดโรคได้หรือไม่?
  • หมอคิดว่าฉันติดโรคมานานเท่าไหร่?
  • ขณะที่กำลังรักษาจะมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่?
  • คู่นอนจะต้องมาพบแพทย์ด้วยหรือไม่? เป็นต้น

เมื่อพบแพทย์ คุณควรมอบบันทึกอาการหรือบอกเล่าอาการต่างๆที่คุณเป็นให้แพทย์ได้ รับรู้ ตลอดจนประวัติการมีเพศสัมพันธ์ หรือพฤติกรรมทางเพศ

แพทย์อาจสอบถามคุณในสิ่งต่อไปนี้

  • คุณคิดว่าคุณติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่? เพราะอะไร?
  • คุณมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายหรือผู้หญิงหรือทั้งสองเพศ?
  • คุณมีสัมพันธ์ทางเพศกับคนเดียวหรือกับหลายคน?
  • คุณมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนคนปัจจุบัน (คนเดียวหรือหลายคนก็ตาม) เป็นระยะเวลานานเท่าไหร่?
  • คุณเคยฉีดยาให้ตัวเองหรือไม่?
  • คุณเคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ฉีดยาเสพติดหรือไม่?
  • คุณรู้จักวิธีป้องกันตนเองจากการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่?
  • คุณคุมกำเนิดหรือไม่?
  • คุมกำเนิดโดยวิธีไหน?
  • คุณเคยเป็นโรคหนองในแท้, หนองในเทียม, โรคเริม/โรคเริมที่อวัยวะเพศ, โรคซิฟิลิส หรือโรคเอดส์/ติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่?
  • คุณเคยรักษาตกขาวผิดปกติ, แผลที่อวัยวะเพศ, ปัสสาวะแสบขัด หรือโรคติดเชื้อที่อวัยวะเพศหรือไม่?
  • คุณมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? เป็นต้น

มีวิธีการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคอย่างไรบ้าง?

ในกรณีที่ประวัติการมีเพศสัมพันธ์และอาการบ่งชี้ว่าคุณอาจติดเชื้อ การตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการจะช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรค และตรวจหาโรคติดเชื้ออื่นๆที่อาจพบร่วมได้

การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม อาจทำได้โดยการตรวจ เลือด น้ำลาย และ/หรือสารคัดหลั่ง เช่น จากแผล และจากน้ำปัสสาวะ การตรวจคัดกรองโรคเอดส์ในผู้ที่ไม่มีอาการ ทำได้โดยการตรวจเลือด หรือตรวจน้ำลาย

ในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ทุกราย แพทย์จะทำการตรวจคัดกรองโรคเอดส์, การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และโรคซิฟิลิส แพทย์จะทำการตรวจคัดกรองโรคหนองในแท้ และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี เพิ่มเติมเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อดังกล่าว ในผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว หรือมีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองความผิดปกติของปากมดลูก ที่สำคัญได้แก่ การอักเสบ, การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในระยะก่อนเป็นมะเร็ง และโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อเรียกว่า HPV/เอชพีวี

ในผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย จะมีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัม พันธ์ ดังนั้นควรเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคต่างๆ ได้แก่ เอดส์, ซิฟิลิส, หนองในแท้, หนองในเทียม, โรคเริม/โรคเริมอวัยวะเพศ, และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

การตรวจคัดกรองการติดเชื้อหนองในแท้และหนองในเทียม ควรกระทำในผู้หญิงที่มีเพศ สัมพันธ์แล้ว และควรทำอีกทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนคู่นอนคนใหม่

ในผู้ที่ติดเชื้อ HIV/เอชไอวี จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มสูง ขึ้น ดังนั้นควรรับการตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิส, หนองในแท้, หนองในเทียม และโรคเริม นอก จากนี้ผู้หญิงที่ติดเชื้อ HIV จะมีโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกที่มีความรุนแรงมาก ดัง นั้นควรตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก และตรวจหาการติดเชื้อ HPV ปีละ 2 ครั้ง ในผู้ชายที่ติดเชื้อ HIV ควรตรวจคัดกรองการติดเชื้อ HPV ที่ทวารหนักด้วยโดยเฉพาะในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะการติดเชื้อดังกล่าวอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งทวารหนักได้

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?

วิธีป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง) อันเนื่องมาจากการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือการตรวจคัดกรองเพื่อวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มต้น และรีบให้การรักษา ทั้งนี้เพราะผู้ติดเชื้อในระยะแรกหลายรายมักจะไม่มีอาการ หรือไม่มีความผิดปกติ

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ เช่น อาการปวดหรือมีก้อนบวมที่ใดก็ได้ในร่างกาย มีอา การเจ็บเป็นๆหายๆที่อวัยวะเพศ มีผื่นแดงที่ผิวหนังทั่วร่างกาย มีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ มีอาการเจ็บ บวม แดงที่ลูกอัณฑะ ปวดอุ้งเชิงกราน (ท้องน้อย) เรื้อรัง มีฝีหนองที่ขาหนีบ ดวง ตาอักเสบ ข้ออักเสบ อุ้งเชิงกรานอักเสบ (การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน) มีบุตรยาก และโรคมะเร็งที่อวัยวะอื่นๆ เช่น โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในผู้ติดเชื้อ HIV โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งที่ลำ ไส้ตรง/โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือโรคมะเร็งทวารหนักในผู้ที่ติดเชื้อ HPV การติดเชื้อต่างๆในผู้ที่เป็นโรคเอดส์ ตลอดจนการติดเชื้อของทารกในครรภ์ในหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรค อันจะก่อให้เกิดอันตราย และความผิดปกติ/ความพิการแต่กำเนิดของทารกได้

มีวิธีรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างไร?

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สามารถรักษาได้ไม่ยาก ส่วนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส สามารถรักษาและควบคุมโรคได้ แต่มักจะไม่หายขาด หากตรวจพบว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์ การรักษาที่เหมาะสมจะสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไปสู่ทารกในครรภ์ได้

การรักษาประกอบด้วยสิ่งต่างๆต่อไปนี้ ได้แก่

1) การให้ยาปฏิชีวนะเพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรียและเชื้อพยาธิ เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส และทริโคโมแนส หรือการให้ยาต้านไวรัส ในกรณีที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัม พันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น โรคเริม/โรคเริมที่อวัยวะเพศ โรคเอดส์ เป็นต้น แล้วแต่กรณี การให้ยาต้านไวรัสทำให้สามารถควบคุมการติดเชื้อ HIV/เอชไอวี ได้หลายปี ถึงแม้ว่าเชื้อไวรัส HIV จะยังคงอยู่ในร่างกาย และสามารถถ่ายทอดสู่ผู้อื่นได้ก็ตาม หากคุณสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อ HIV และเริ่มรับประทานยาภายใน 28 วันภายหลังจากสัมผัสผู้ติดเชื้อ คุณอาจหลีกเลี่ยงการติดโรคได้

2) งดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาโรคหายแล้ว

3) การตรวจติดตามภายหลังการรักษา เพื่อความมั่นใจว่าหายจากโรคแล้วหรือไม่ หากไม่สามารถใช้ยาตามที่แพทย์สั่งได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการรักษา

4) การป้องกันการติดเชื้อไปยังคู่นอน หากพบว่าคุณเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คุณควรบอกให้คู่นอนของคุณคนปัจจุบัน และคู่นอนในอดีตภายในช่วงเวลา 3-12 เดือนทราบ เพื่อเข้ารับการตรวจรักษาที่เหมาะสมต่อไป การกระทำดังกล่าวจะช่วยลดการแพร่กระจายของโรค ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ โดยเฉพาะโรคซิฟิลิสและโรคเอดส์ จากการที่โรคต่างๆที่กล่าวมาติด ต่อผ่านการสัมผัสทางเพศ ดังนั้นหากคู่นอนของคุณติดโรคจากคุณ และไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าคุณจะรักษาหายแล้วก็ตาม คุณก็มีโอกาสที่จะติดเชื้ออีกครั้งจากคู่นอนของคุณได้

วิธีป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?

ทั่วไป วิธีป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้แก่

  • การไม่มีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีดีที่สุดในการป้องกันการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (แต่เป็นเรื่องเป็นไปได้ยาก)
  • วิธีอื่นๆ เช่น
    • การไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
    • ไม่มีคู่นอนหลายคน
    • และการอยู่กับคู่นอนที่ไม่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างถาวร จะช่วยลดโอกาสการเป็นโรคได้
    • การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV (วัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก) และ วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนที่จะเริ่มมีเพศสัมพันธ์จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อไวรัสเหล่านี้ได้ การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ในประเทศไทย มักจะเริ่มตั้งแต่ขณะที่อยู่ในวัยเด็ก ส่วนการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV มักจะแนะนำให้ผู้หญิงฉีดในช่วงอายุ 9-26 ปี
  • กรณีที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนคนใหม่ คุณและคู่คนใหม่ควรเข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์
  • ควรใช้ถุงยางอนามัยชายอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดโอกาสติดโรค
    • อย่างไรก็ดีหากใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อหล่อลื่นถุงยางอนามัยชนิดลาเทกซ์ การกระทำดังกล่าวจะลดประสิทธิภาพในการป้องกันการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะจะทำให้เนื้อยางชำรุด การยืดหยุ่นของยางลดลง ถุงยางจึงแตกได้ง่าย และยังลื่นหลุดได้ง่ายอีกด้วย
  • ควรหลีกเลี่ยงการดื่มสุรามากเกินไป และการใช้สารเสพติด ทั้งนี้เพราะการกระทำดัง กล่าว จะทำให้คุณขาดความสามารถในการควบคุมตนเอง และนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่เคยรู้จัก หรือการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่รู้จักทางอินเทอร์เนต ในบาร์ หรือสถานที่เที่ยวต่างๆ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงอย่างมากในการติดโรค ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • ก่อนที่จะมีสัมพันธ์ทางเพศ ควรพูดคุยและตกลงกับคู่ของคุณในเรื่องของการมีเพศสัม พันธ์ที่ปลอดภัยว่า กิจกรรมใดที่ควรทำและไม่ควรทำ
  • ในผู้ที่มีบุตร ควรปลูกฝังให้มีพฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสมในวัยอันควร ทั้งนี้เพราะการมีเพศสัมพันธ์ขณะอายุยังน้อยจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรคต่างๆได้ง่าย
  • การมีเพศสัมพันธ์กับคู่เพียงคนเดียวจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้
  • การขลิบอวัยวะเพศชายจะช่วยลดความเสี่ยงในการที่ผู้ชายจะติดเชื้อ HIV จากผู้หญิงที่เป็นโรคได้ถึง 50-60% นอกจากนี้การขลิบยังช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV และเริมได้อีกด้วย

อนึ่ง:

  • วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่มีในปัจจุบันจะป้องกันมะเร็งปากมดลูกเฉพาะที่เกิดกับเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ย่อย 16 และ 18 (ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ประมาณ 70%) ไม่สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่เกิดจากสายพันธุ์ย่อยอื่นๆได้ แต่มีรายงานจากสถาบันจุฬาภรณ์ (พ.ศ. 2556) ว่า สาเหตุส่วนใหญ่ของมะเร็งปากมดลูกของหญิงไทย เป็นสายพันธุ์ย่อย 52 และรองลงมาคือ 16 ดังนั้น การฉีดวัคซีนนี้จึงน่าจะมีประโยชน์น้อยในหญิงไทย
  • ปัจจุบันมีวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีได้หลายชนิดย่อยเพิ่มขึ้น คือ
    • วัคซีนชื่อการค้า ‘Gardasil’ ป้องกันติดเชื้อเอชพีวีสายพันธ์ย่อย 4ชนิด ได้แก่ สายพันธ์ย่อย 6, 11, 16, 18
    • วัคซีนชื่อการค้าว่า ‘Gardasil 9’ ป้องกันติดเชื้อเอชพีวีสายพันธ์ย่อยได้ 9ชนิด ได้แก่สายพันธ์ย่อย 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52, และ58

จะปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?

เมื่อสงสัยว่าตนเองอาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

  • ควรรีบปรึกษาแพทย์
  • ควรงดการมีเพศสัมพันธ์เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังบุคคลอื่น จนกว่าผลการตรวจจะยืนยันว่าคุณไม่ได้เป็นโรค หรือหากเป็นโรคก็ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ จนกว่าคุณจะรักษาโรคจนหายดีแล้ว

ทั้งนี้ การเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ก่อให้เกิดผลทางจิตใจค่อนข้างมาก คุณอาจรู้สึกโกรธเหมือนว่าถูกหักหลังจากคนที่คุณรัก ละอายใจเมื่อรู้ว่าโรคที่เป็นอาจติดไปสู่คู่นอนของคุณได้ และที่แย่ที่สุดคือ โรคบางอย่างอาจทำให้คุณเจ็บป่วยตลอดชีวิต และถึงแก่ชีวิตได้ อีกทั้งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจในเรื่องชีวิตครอบครัว การมีบุตร ตลอดจนทัศนคติต่อการมีเพศสัม พันธ์

อย่างไรก็ดี ไม่ควรโทษใคร การได้รับเชื้ออาจไม่ได้เกิดขึ้นจากคู่นอนคนปัจจุบัน แต่อาจเกิดจากคู่นอนคนเดิมที่ผ่านมาของคุณ หรือของคู่นอนคนปัจจุบัน หรือทั้งคู่

*สิ่งที่ดีที่สุดคือ การเรียนรู้ที่จะป้องกันการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตั้งแต่วันนี้ดังได้กล่าวแล้ว

บรรณานุกรม

  1. Klausner JD. Screening guidelines for sexually transmitted diseases, including HIV. In: Klausner JD, et al. Current Diagnosis and Treatment of Sexually Transmitted Diseases. New York, N.Y.: The McGraw Hill Companies; 2007.
  2. Swygard H, et al. Gonorrhea. In: Klausner JD, et al. Current Diagnosis and Treatment of Sexually Transmitted Diseases. New York, N.Y.: The McGraw Hill Companies; 2007.
  3. Ward H. Prevention strategies for sexually transmitted infections: Importance of sexual network and epidemic phase. Sexually Transmitted Infections. 2007;83:i43.
  4. Reitmeijer CA. Principles of risk reduction counseling. In: Klausner JD, et al. Current Diagnosis and Treatment of Sexually Transmitted Diseases. New York, N.Y.: The McGraw Hill Companies; 2007.
  5. https://www.uptodate.com/contents/screening-for-sexually-transmitted-infections [2019,July27]
  6. https://www.who.int/reproductivehealth/publications/en/ [2019,July27]
  7. https://www.cdc.gov/std/default.htm [2019,July27]
  8. https://www.cdc.gov/mmwr/preview/mmwrhtml/rr5402a1.htm [2019,July27]
  9. https://www.cdc.gov/mmwr/preview/mmwrhtml/rr5514a1.htm?s_cid=rr5514a1_e [2019,July27]
  10. http://medinfo2.psu.ac.th/cancer/db/news_showpic.php?newsID=861&tyep_ID=2 [2019,July27]
  11. https://www.cancer.gov/about-cancer/causes-prevention/risk/infectious-agents/hpv-vaccine-fact-sheet [2019,July27]