โรคของต่อมบาร์โธลิน (Bartholin’s gland disease)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

ต่อมบาร์โธลินคืออะไร?

ต่อมบาร์โธลิน (Bartholin’s gland) เป็นต่อมที่ผลิตเมือกในสตรี เป็นต่อมขนาดเล็ก มี 2 ต่อมซ้ายและขวา อยู่ทางด้านล่างของแคมใหญ่ทั้ง 2 ข้าง ใต้ผิวหนังบริเวณปากช่องคลอดที่ตำ แหน่งประมาณ 4 และ 8 นาฬิกา ต่อมมีลักษณะคล้ายเมล็ดถั่ว ขนาด 0.5-1.5 ซม.(เซนติเมตร) และมีท่อยาว 1.5-2 ซม. มาเปิดบริเวณในช่องคลอดส่วนอยู่ใกล้ปากช่องคลอด เมือกจะถูกผลิตออกมามากเมื่อมีการกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ทางเพศขณะมีเพศสัมพันธ์ เพื่อช่วยหล่อลื่น

ในภาวะปกติ ต่อมบาร์โธลินจะคลำไม่พบ หากท่อไม่ตัน เมือกที่สร้างออกมาจะถูกส่ง ออกมาตามท่อ ออกมาภายนอกร่างกาย แต่หากท่ออุดตัน ทำให้เมือกไม่สามารถขับออกมาสู่ภายนอกได้ จะทำให้เกิดปัญหา/โรคต่างๆตามมาได้ ดังจะกล่าวถึงต่อไป

โรคที่เกิดที่ต่อมบาร์โธลินมีอะไรบ้าง?

โรคของต่อมบาร์โธลิน

โรค/ภาวะผิดปกติของต่อมบาร์โธลิน คือ

1. ภาวะถุงน้ำต่อมบาร์โธลิน (Bartholin’s gland cyst): เป็นภาวะที่พบได้บ่อยมากในสตรีวัยเจริญพันธุ์ เกิดจากท่อของต่อมบาร์โธลิน อุดตัน ทำให้เมือกที่สร้างออกมาจากต่อมสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็นก้อนถุงน้ำ ที่พบอยู่บริเวณปากช่องคลอด และมักพบเกิดทีละข้าง

2. ภาวะต่อมบาร์โธลินเป็นหนอง (Bartholin’s gland abscess): เป็นภาวะที่พบได้บ่อยเช่นกันในสตรีวัยเจริญพันธุ์ เกิดจากการติดเชื้อของถุงน้ำต่อมบาร์โธลิน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการเจ็บปวด และบวม ที่ปากช่องคลอด มักพบเป็นทีละข้าง

3. โรคเนื้องอกต่อมบาร์โธลิน (Bartholin gland tumor): เป็นเนื้องอกที่เกิดที่ต่อมนี้ พบไม่บ่อย มักพบในสตรีวัยหมดประจำเดือน ลักษณะจะเป็นก้อนค่อนข้างแข็ง ผิวไม่เรียบ การรักษาโรคเนื้องอกต่อมบาร์โธลิน จำเป็นต้องตัดต่อมบาร์โธลินออกทั้งหมด ทั้งนี้ อาจพบโรคมะเร็งของต่อมบาร์โธลินได้ แต่พบได้น้อยมากๆ โดยมะเร็งของต่อมบาร์โธลิน จะจัดรวมอยู่ใน โรคมะเร็งอวัยวะเพศหญิง (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง โรคมะเร็งอวัยวะเพศหญิง)

อนึ่ง: บทความนี้ จะไม่กล่าวถึง โรคเนื้องอก และโรคมะเร็งต่อมบาร์โธลิน เพราะเป็นโรคที่พบได้น้อยมากๆ จะกล่าวถึงเฉพาะ 2 โรคแรกเท่านั้น

สาเหตุที่ทำให้เกิดถุงน้ำต่อมบาร์โธลินมีอะไรบ้าง?

สาเหตุของการเกิดถุงน้ำต่อมบาร์โธลิน คือ เกิดจาก โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่มักเกิดการอักเสบติดเชื้อจากแบคทีเรีย พวก Neisseria gonorrhoeae (โรคหนองใน) หรือ Chlamydia trachomatis (เช่น โรคหนองในเทียม) จึงเป็นสาเหตุทำให้ท่อของต่อมบาร์โธลินอุดตันได้ นอกจากนั้นการอักเสบจากเชื้อ อี โคไล (Escherichai coli, E. coli) ก็ทำให้เกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน การเกิดเป็นถุงน้ำมักเป็นทีละข้าง และมีแนวโน้มทีจะเป็นซ้ำอีกภายหลังการรักษาแล้ว

อาการของถุงน้ำต่อมบาร์โธลินมีอย่างไรบ้าง?

อาการของถุงน้ำต่อมบาร์โธลิน คือ

1. มีก้อนที่ปากช่องคลอด

2. หากเป็นก้อนใหญ่ จะสร้างความรำคาญ และมีอาการระคายเคืองขณะเดินได้

3. ขัดขวางต่อการมีเพศสัมพันธ์ หากก้อนมีขนาดใหญ่

เมื่อมีอาการของถุงน้ำต่อมบาร์โธลิน ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?

เมื่อมีก้อนหรือถุงน้ำเกิดที่บริเวณปากช่องคลอด ย่อมไม่ใช่สิ่งปกติแน่ จริงๆอยากให้ไปพบแพทย์เลย เพื่อได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องว่าไม่เป็นโรคที่ร้ายแรง แต่หากมั่นใจว่าเป็นถุงน้ำบาร์โธลินจากตามตำแหน่งที่เกิด และลักษณะเป็นก้อนถุงน้ำและมีขนาดเล็ก ไม่มีอาการเจ็บปวด สามารถลองนั่งแช่น้ำอุ่นวันละ 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 15-20 นาที 2-3 วัน หากก้อนยุบไป ก็ไม่มีปัญหา แต่หากก้อนไม่ยุบ แนะนำไปพบแพทย์/สูตินรีแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสม

แพทย์วินิจฉัยภาวะถุงน้ำต่อมบาร์โธลินได้อย่างไร?

แพทย์จะวินิจฉัยภาวะ/โรคถุงน้ำต่อมบาร์โธลินได้จาก

  • การสอบถามประวัติอาการ
  • การตรวจร่างกาย ตรวจบริเวณอวัยวะเพศ โดยเฉพาะตำแหน่งที่เกิดโรคบริเวณปากช่องคลอด ตามที่กล่าวมาในเบื้องต้นแล้ว ทั้งนี้ ลักษณะของถุงน้ำ คือ เป็นก้อนหยุ่นๆ ค่อนข้างนุ่ม ผิวเรียบ กดไม่เจ็บ แพทย์จึงสามารถวินิจฉัยได้ง่าย

ภาวะถุงน้ำต่อมบาร์โธลินหายขาดหรือไม่?

การเกิดเป็นถุงน้ำต่อมบาร์โธลินมักเป็นทีละข้าง และมีแนวโน้มทีจะเป็นซ้ำได้อีกบ่อยๆ หากมีการอุดตันท่อระบายเมือกอีก หลังการเปิดปากถุง อาการจะดีขึ้น แต่มักไม่ค่อยหายขาด

ส่วนระยะเวลาที่กลับเป็นซ้ำมักไม่แน่นอน หากการรักษาเพียงแค่ใช้เข็มดูดเมือกออกจะมีโอกาสกลับเป็นซ้ำเร็ว, หากใช้วิธีเปิดปากถุงกว้างพอประมาณ การกลับมาอุดตันจะช้ากว่า

การรักษาภาวะถุงน้ำต่อมบาร์โธลินทำได้อย่างไรบ้าง?

แนวทางการรักษาภาวะ/โรคถุงน้ำต่อมบาร์โธลิน ได้แก่

1. หากถุงน้ำ มีขนาดเล็กและไม่สร้างความรำคาญ ไม่จำเป็นต้องรักษา

2. หากถุงน้ำมีขนาดใหญ่ แพทย์จะทำการกรีดผนังถุงน้ำ และเย็บผนังถุงน้ำยึดติดกับผิวหนัง เพื่อเปิดปากแผลให้เมือกไหลออกได้ (Marsupialization) มักไม่นิยมเลาะตัดถุงน้ำทั้งหมด เนื่องจากจะทำให้เลือดออกมาก

3. รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ

4. ไม่ควรใส่กางเกงที่รัดแน่นเกินไป

5. รักษาและแนะนำการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ถ้าไม่ผ่าตัดถุงน้ำต่อมบาร์โธลินจะมีผลเสียอย่างไร? จะดูแลตนเองอย่างไร?

หากถุงน้ำต่อมบาร์โธลินมีขนาดเล็ก ไม่ก่อความรำคาญต่อสตรี หรือถุงน้ำไม่ขัดขวางต่อการมีเพศสัมพันธ์ อาจไม่ต้องรักษาได้ สามารถสังเกตอาการตนเองไปก่อน เนื่องจากโอกาสเปลี่ยนเป็นมะเร็งน้อยมาก ผลเสียที่มีได้ คือ มีการติดเชื้อเข้าไปที่ถุงน้ำต่อมบาร์โธลิน ทำให้เกิดการอักเสบ จะมีอาการเจ็บปวดมาก

การดูแลตนเองหากเป็นถุงน้ำฯ คือ

  • การดูแลความสะอาดทั่วไปของร่างกาย
  • ดูแลสุขภาวะของอวัยวะเพศ
  • รักษาและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • แต่หากพบก้อนหรือถุงน้ำในช่วงวัยที่อายุมาก หรือ วัยหมดประจำเดือนแล้ว ควรต้องรีบไปพบแพทย์/สตินรีแพทย์ เพื่อตัดชิ้นเนื้อ เพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา ว่าเป็นเนื้อร้าย/มะเร็ง หรือไม่

การป้องกันภาวะถุงน้ำต่อมบาร์โธลินมีวิธีใดบ้าง?

วิธีป้องกันโรค/ภาวะถุงน้ำต่อมบาร์โธลิน คือ

1. หากเกิดเป็นถุงน้ำขนาดเล็ก รีบนั่งแช่น้ำอุ่น ดังกล่าวแล้วในหัวข้อ อาการ

2. ระวังการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ใช้ถุงยางอนามัย

3. รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะลืบพันธุ์

4. ไม่สวมกางเกงที่รัดแน่นเกินไป

อาการของต่อมบาร์โธลินเป็นหนองมีอย่างไรบ้าง? ควรไปพบแพทย์เมื่อไร?

อาการของต่อมบาร์โธลินเป็นหนอง คือ

1. ปวด เจ็บ บริเวณปากช่องคลอด

2. ไข้สูง หนาวสั่น ร่วมกับการปวดบริเวณปากช่องคลอด

3. มีก้อนที่ปากช่องคลอด ปวด นั่งลำบาก

ทั้งนี้ โรคต่อมบาร์โธลินเป็นหนอง จะมีอาการปวดมาก

หากเป็นระยะเริ่มต้นก้อนไม่ใหญ่ อาจรับประทานยาปฏิชีวนะรักษาได้ ทั้งนี้ มักเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมกันหลายชนิด เรียกว่า เป็นการติดเชื้อแบบรวม เชื้อมีทั้งชนิดกรัม/แกรมบวกและกรัม/แกรมลบ รวมถึงแบคทีเรียที่ไม่ใช้ออกซิเจน (อ่านเพิ่มเติมในบทความเรื่อง แบคทีเรีย) อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ไปพบแพทย์/สูติแพทย์จะปลอดภัยกว่า เพื่อจะได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

หากเป็นก้อนใหญ่ ไข้สูง จะมีอาการเจ็บปวดมาก ต้องรีบไปพบแพทย์/สูตินรีแพทย์ เนื่องจากต้องกรีดหนองออกด้วย การรักษาจึงจะได้ผล

แพทย์วินิจฉัยภาวะต่อมบาร์โธลินเป็นหนองได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยโรค/ภาวะต่อมบาร์โธลินเป็นหนองจาก

1. ประวัติอาการ อาจจะเคยมีถุงน้ำบาร์โธลินมาก่อนโดยไม่มีอาการเจ็บปวด แต่ต่อมามีอาการเจ็บปวด

2. การตรวจภายใน (ดูปากช่องคลอด) พบก้อนที่ปากช่องคลอด บริเวณ 4 และ 8 นาฬิกา มีอาการของการอักเสบ คือ กดเจ็บ บวม แดง ซึ่งหากเป็นถุงน้ำบาร์โธลินจะไม่มีอาการเจ็บปวด

การรักษาภาวะต่อมบาร์โธลินเป็นหนองทำได้อย่างไรบ้าง?

แนวทางการรักษาโรค/ภาวะต่อมบาร์โธลินเป็นหนอง คือ

1. รับประทานยาแก้ปวด ร่วมกับ

2. นั่งแช่น้ำอุ่น (ดังกล่าวแล้วในหัวข้อ อาการ) ร่วมกับ

3. รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ ร่วมกับ

4. ไปพบแพทย์ เพื่อรับประทานยาแก้อักเสบ (ยาปฏิชีวนะ) ร่วมกับ

5. แพทย์จะกรีดแผลระบายหนอง บางครั้งแพทย์จะใส่ผ้าก็อซ (ผ้าขาวบาง) ชิ้นเล็กๆยาวๆ หรือ ท่อย่างขนาดเล็กไว้ข้างในแผล เพื่อเปิดปากแผล เพื่อช่วยระบายหนอง มักไม่นิยมเลาะตัดถุงหนองออกทั้งหมด เนื่องจากจะทำให้เลือดออกมาก

อนึ่ง: การเกิดเป็นถุงหนอง มักเป็นทีละข้าง และมีแนวโน้มทีจะเป็นซ้ำอีก

ถ้าไม่รักษาจะเป็นอย่างไร?

หากไม่รักษาโรค/ภาวะต่อมบาร์โธลินเป็นหนอง ก้อนหนองอาจแตกเองได้ หรือทำให้มีไข้สูง หนาวสั่น เจ็บปวด สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ (อ่านเพิ่มเติมในบทความเรื่อง ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ)

ในกรณีที่ก้อนหนองไม่ใหญ่มาก ซื้อยาปฏิชีวนะรับประทานแต่ไม่ได้กรีดหนองออก เชื้อโรคสามารถถูกทำลายไปได้แต่หนองอาจกลายเป็นของเหลว แล้วค้างอยู่ในต่อมฯเหมือนเดิม จะคลำได้เป็นถุงน้ำดังเดิม

ต่อมบาร์โธลินเป็นหนองมีผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง?

การเป็นหนองที่ต่อมบาร์โธลินจะเจ็บปวด ทรมานมาก เดินนั่งลำบาก รบกวนต่อการใช้ชีวิตประจำวัน อาจทำให้มีไข้สูง หนาวสั่น ผู้ป่วยมักทนอาการปวดไม่ไหว ต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการระบายหนองออก

หากเกิดในสตรีที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแลเลือด (ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ) ได้ หรือในบางครั้งสามารถรักษาการติดเชื้อได้แต่ยังคงมีของเหลวคั่งอยู่ ก็จะมีลักษณะเป็นถุงน้ำที่ต่อมบาร์โธลินเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่มีอาการเจ็บปวด

ต่อมบาร์โธลินเป็นหนองรักษาหายไหม? กลับมาเป็นอีกได้ไหม?

หลักการรักษาต่อมบาร์โธลินเป็นหนอง คือการระบายหนองออกร่วมกับการรับประทานยาแก้อักเสบ (ยาปฏิชีวนะ) ให้ถูกต้อง โรค/ภาวะนี้มีโอกาสการกลับเป็นซ้ำได้ หากท่อต่อมบาร์โธลินอุดตันเกิดเป็นถุงน้ำอีก และมีการติดเชื้อซ้ำ หรือเกิดจากที่ระบายหนองไม่เพียงพอ หรือเพียงดูดหนองออกบางส่วน หรือรับประทานยาแก้อักเสบไม่ถูกต้อง

ดูแลตนเองอย่างไรหลังรักษาภาวะต่อมบาร์โธลินเป็นหนองหายแล้ว?

การดูแลตนเอง หลังรักษาภาวะต่อมบาร์โธลินเป็นหนองหายแล้ว ได้แก่

1. รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศทั้งสามีและภรรยา

2. ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และเมื่อมีอาการสงสัยการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ควรรีบพบแพทย์/สูตินรีแพทย์

3. ไม่ใส่กางเกงรัดเกินไป

4. เมื่อกลับมามีอาการปวดเจ็บในบริเวณปากช่องคลอด ควรรีบพบแพทย์/สูตินรีแพทย์

ป้องกันต่อมบาร์โธลินเป็นหนองได้อย่างไร?

การป้องกันต่อมบาร์โธลินเป็นหนอง บางครั้งทำได้ยาก การมีเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศ การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์) ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดต่อมบาร์โธลินเป็นหนอง

การป้องกัน คงเป็นการดูแลสุขภาพ ความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศทั้งของตนเองและสามีให้ดี รวมทั้งการสวมถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ก็จะช่วยลดการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ และช่วยลดโอกาสเกิดต่อมบาร์โธลินเป็นหนองได้

โรคของต่อมบาร์โธลินมีผลต่อการตั้งครรภ์ การแท้งบุตร และการคลอดไหม?

ในกรณีที่เป็นถุงน้ำของต่อมบาร์โธลินขนาดเล็ก มักไม่มีผลต่อการตั้งครรภ์ การแท้งบุตร หรือ การคลอด, แต่หากเป็นถุงน้ำขนาดใหญ่ อาจขัดขวางทางคลอดได้ แต่ไม่มีผลต่อการแท้งบุตร

บรรณานุกรม

  1. http://www.aafp.org/afp/2003/0701/p135.html [2020,Jan4].
  2. http://emedicine.medscape.com/article/777112-overview [2020,Jan4].
  3. http://www.emedicinehealth.com/bartholin_cyst/page5_em.htm [2020,Jan4].