โปรตีนยับยั้งเชื้อเอดส์ (ตอนที่ 2)

ดร.เดวิด ฮาร์ริช เริ่มศึกษาเกี่ยวกับเชื้อไวรัสเอชไอวี (Human immunodeficiency virus = HIV) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2532 หลังจากที่จบปริญญาเอกทางด้านพยาธิวิทยาทดลอง (Experimental pathology) จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของ ดร.ฮาร์ริช เกี่ยวกับนูลล์เบสิกเกิดขึ้นในปี 2550

ทีมวิจัยของ ดร.ฮาร์ริช ได้เริ่มทำการทดลองเชื้อนูลล์เบสิกเพื่อรักษาหนูที่มีเชื้อเฮชไอวีในปี พ.ศ.2556 และคิดว่าหากประสบผลสำเร็จก็จะทดลองทางคลินิก (Clinical trial) ในผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ ซึ่งอาจจะใช้เวลาทดลองอีกเป็น 10 ปีก็ได้

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ลิงซิมแปนซีชนิดหนึ่งในแถบแอฟริกาตะวันตกเป็นแหล่งกำเนิดของการติดเชื้อเฮชไอวีในมนุษย์ โดยเชื่อว่า เชื้อเอสไอวี (Simian immunodeficiency virus = SIV) ที่อยู่ในลิงติดต่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์และกลายไปเป็นเชื้อเฮชไอวีได้เพราะมนุษย์ไปล่าลิงเหล่านี้มากินเป็นอาหาร ทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด

บางงานวิจัยก็กล่าวว่าเชื้อเฮชไอวีอาจจะเกิดจากลิงใหญ่ (Apes) ที่ติดต่อมาสู่มนุษย์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2343 หลายสิบปีที่ผ่านมาจึงค่อยๆ แพร่จากแอฟริกาไปยังส่วนต่างๆ ของโลก และมาพบเชื้อนี้ในสหรัฐอเมริกาอย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513

คนที่ติดเชื้อเฮชไอวีจะเรียกว่าเป็นเอดส์ก็ต่อเมื่อจำนวนเม็ดเลือดขาวของระบบภูมิคุ้มกัน (CD4 cells) ลดลงเหลือ 200 เซลล์ต่อเลือดหนึ่งไมโครลิตร (200 cells/mm3) หรือเชื้อเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 1 ใน 22 ของส่วนที่มีโอกาสติดเชื้อ

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่ามีการติดเชื้อเฮชไอวี ทางเดียวก็คือต้องทำการตรวจเลือด เพราะเราไม่สามารถดูจากอาการที่ปรากฏได้อย่างเดียว ทั้งนี้มีหลายคนที่ติดเชื้อเฮชไอวีแต่ก็ไม่ปรากฏอาการตลอด 10 ปี หรือมากกว่านั้น คนที่ติดเชื้อเฮชไอวีจะมีอาการคล้ายหวัด (The worst flu ever) ในระยะ 2-4 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ ซึ่งอาการที่ปรากฏโดยทั่วไปได้แก่

  • เป็นไข้
  • ต่อมน้ำเหลืองโต
  • เจ็บคอ
  • เป็นผื่น (Rash)

ระยะเวลาที่อาการเหล่านี้ปรากฏมีตั้งแต่ไม่กี่วันจนถึงหลายสัปดาห์ ในระหว่างนี้การตรวจเชื้อเฮชไอวีอาจไม่แสดงผล แต่คนที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อไปยังคนอื่นได้

อย่างไรก็ดี แม้จะมีอาการเหล่านี้ก็ไม่ควรทึกทักว่ามีการติดเชื้อเฮชไอวี เพราะอาจเป็นอาการเจ็บป่วยจากโรคอื่นก็ได้ ดังนั้นจึงควรทำการตรวจเลือดหรือน้ำลายให้แน่ชัด หากผลการตรวจเป็นเลือดบวก ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้เร็วที่สุด

การติดเชื้อเฮชไอวีเป็นปัญหาร้ายแรงของโลก ในปี พ.ศ. 2554 พบว่ามีผู้ติดเชื้อใหม่ประมาณ 2.5 ล้านคน โดยมีผู้ติดเชื้อทั่วโลกประมาณ 34.2 ล้านคน ส่วนในปี พ.ศ. 2553 มีคนตายเพราะโรคเอดส์ประมาณ 1.8 ล้านคน และยอดคนตายด้วยโรคเอดส์ทั่วโลกนับตั้งแต่โรคนี้ระบาดมามีจำนวนรวมประมาณ 30 ล้านคน และแม้ว่ากลุ่มประเทศแอฟริกาทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า (Sub-Saharan Africa) จะเป็นแหล่งที่มีเชื้อเฮชไอวี/โรคเอดส์มากที่สุด แต่ในแถบเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรปตะวันออก เอเชียกลางและละตินอเมริกาก็มีรายงานการติดเชื้อที่มีนัยสำคัญอยู่เช่นกัน

แหล่งข้อมูล:

  1. Australian scientists may have found ‘potential cure for AIDS’. http://www.australiantimes.co.uk/news/news-from-australia/news-in-australia/australian-scientists-may-have-found-potential-cure-for-aids.html [2013, September 28].
  2. What is HIV? http://www.cdc.gov/hiv/basics/index.html [2013, September 28].