เรื่องเฉพาะสตรี...วัยเด็ก ตอนที่ 6

ภาวะผิดปกติของช่องคลอดมีอะไรบ้าง?

ภาวะผิดปกติของช่องคลอดที่พบบ่อยก็คือ ติ่งเนื้อของช่องคลอด ซึ่งแพทย์จะต้องแยกโรคออกจากมะเร็งซาร์โคม่าโบทรีออยดีส์(Botryoides sarcoma) ให้ได้นะครับ ซึ่งเคยมีรายงานว่า พบติ่งเนื้อนี้ในเด็กขณะที่ส่วนมากของกรณีเหล่านี้จะพบในผู้ใหญ่ โดยพบว่ามีอยู่ 2 รายที่พบในเด็กทารกและพบได้ตั้งแต่แรกเกิดทีเดียว กรณีที่พบในทารกเหล่านี้ ไม่พบว่ามีความผิดปกติทางเซลล์วิทยาอย่างในกรณีผู้ใหญ่ครับ แต่จากการตรวจร่างกายก็น่าสงสัยอยู่ว่าอาจเป็นมะเร็งซาร์โคม่าโบทรีออยดีส์ได้ เพราะพบว่ามีการบวมมากพอสมควร และรายหนึ่งก็มี ก้อนยื่นออกมาจากปากช่องคลอดที่ดูคล้ายพวงองุ่น (ลักษณะของก้อนเนื้อจากโรคนี้) ด้วยครับ แต่ก็ไม่เหมือนกับมะเร็งซาร์โคม่าโบทรีออยดีส์เสียทีเดียว ตรงที่เซลล์ในติ่งเนื้อเหล่านี้จะไม่มีการพัฒนาไปเป็นเซลล์กล้ามเนื้อลาย โดยปกติแล้ว มะเร็งซาร์โคม่าโบทรีออยดีส์ของช่องคลอดมักพบในเด็กหญิงอายุน้อยกว่า 5ขวบ การพยากรณ์โรค /โอกาสรักษาได้หายในปัจจุบันนี้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เนื่องจากมีการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะที่สามารถผ่าตัดเลาะเอาอวัยวะในอุ้งเชิงกรานออกได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น ภาวะผิดปกติอื่นๆที่มีรายงาน แต่พบได้น้อยมาก ได้แก่ ผนังช่องคลอดติดกันหลังการเป็นโรคสะตีเวนส์จอห์นสัน การมีนิ่วเกิดขึ้นในช่องคลอดเนื่องจากเด็กมีความพิการมากไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว และช่องคลอดมีหนองขังหลังจากมีการติดเชื้อในช่องคลอดนำมาก่อน เป็นต้น

ตกขาวผิดปกติ มีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง?

การวินิจฉัยแยกโรคของอาการตกขาวผิดปกติในเด็กได้แก่ การติดเชื้อ โดยอาจเป็นการติดเชื้อ จากเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ (มักเกิดจากการเช็ดทำความสะอาดอวัยวะเพศจากด้านหลังมาด้านหน้า หรือปัญหาทางสุขอนามัยอื่นๆ) การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พยาธิเส้นด้าย หรือมีสิ่งแปลกปลอมค้างอยู่ในช่องคลอดก็ได้ครับ การมีอาการช่องคลอดอักเสบจนถึงกับมีเลือดออก ซึ่งมักนำมาก่อนด้วยประวัติอุจจาระร่วงเป็นน้ำ บ่งชี้ว่าได้มีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียบางชนิดของลำไส้เข้าไปในช่องคลอด เช่น เชื้อบิดไม่มีตัว หรือเชื้อสเตรปโตคอคคัส (Streptococcus) มากกว่าจะเป็นเชื้อชนิดอื่นนะครับ

บรรณานุกรม

  1. ตำรานรีเวชวิทยา ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  2. ตำรานรีเวชวิทยา ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  3. http://www.cancer.gov/ access date 1st October, 2004.