เรื่องเฉพาะสตรี...วัยสาว ตอนที่ 2

การปฏิสนธิ เกิดขึ้นได้อย่างไร?

การตกไข่เกิดขึ้นกลางรอบเดือนดังได้กล่าวมาแล้ว หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาดังกล่าวพอดี ก็จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูงสุด เพราะไข่ที่เพิ่งตกออกมานั้นจะได้พบกันกับตัวอสุจิพอดี เกิดการปฏิสนธิขึ้นได้โดยไม่มีใครต้องรอใคร แต่ถ้าหากไม่พอดี ตัวอสุจินั้นก็สามารถรอไข่ตกได้ถึง 3 วัน แต่ไข่รอตัวอสุจิได้เพียง 1 วันเท่านั้น ดังนั้นหากไข่ตกวันที่ 14 การมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ 11-15 ล้วนอาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ทั้งสิ้น ในทางตรงกันข้าม การมีเพศสัมพันธ์ในวันอื่นๆย่อมไม่น่าจะเกิดการตั้งครรภ์

หลักการดังกล่าวข้างต้นนี้หากเข้าใจแจ่มแจ้งก็จะสามารถนำมาใช้เพื่อการคุมกำเนิด หรือการทำให้ตั้งครรภ์ (เกิดการปฏิสนธิ) ในคู่สมรสที่ต้องการมีบุตรก็ได้ หากใช้หลักการนี้แล้วยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ภายใน 6 เดือน ก็คาดหมายได้เลยว่า ไม่ฝ่ายชายก็ฝ่ายหญิงน่าจะมีความผิดปกติบางอย่างที่เป็นสาเหตุของการมีบุตรยากซ่อนอยู่ ต้องตรวจหาสาเหตุโดยการตรวจดูน้ำอสุจิของฝ่ายชาย และฉีดสีเข้าโพรงมดลูกแล้วเอกซเรย์ดูความผิดปกติของโพรงมดลูกและหลอดมดลูก/ท่อนำไข่ของฝ่ายหญิง โดยทั่วไปหากพบสาเหตุ มักจะมาจากฝ่ายชายเสีย 40% ฝ่ายหญิง 60%

การปฏิสนธิตามปกติแล้วจะเกิดขึ้นบริเวณหลอดมดลูก (ท่อนำไข่ก็เรียก) หลังจากนั้นไข่ที่ถูกผสมแล้วก็จะเคลื่อนตัวต่อมาเพื่อฝังตัวลงบนเยื่อบุโพรงมดลูกในโพรงมดลูก ภายในเวลาประมาณ 6 วัน หลังจากนั้นไม่กี่วัน (ช่วงที่ขาดประจำเดือนพอดี) ก็จะสามารถตรวจพบการตั้งครรภ์ได้จากการตรวจปัสสาวะ ซึ่งชุดการตรวจนี้มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาด เป็นการทดสอบหาฮอร์โมนชนิดหนึ่งซึ่งรกของตัวอ่อนสร้างขึ้นมา

หากการฝังตัวของตัวอ่อนไม่อยู่ในโพรงมดลูกล่ะ เช่น ไปฝังตัวอยู่ในช่องท้อง ที่ผิวรังไข่ ที่หลอดมดลูก เป็นต้น ก็จะทำให้เกิดการตั้งครรภ์/ท้องนอกมดลูกซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ปวดท้องน้อย ตกเลือดในช่องท้อง ช็อก (ความดันโลหิตต่ำจนกระแสเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ไม่เพียงพอ) อาจถึงแก่ชีวิตได้หากได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที

บรรณานุกรม

  1. ตำรานรีเวชวิทยา ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  2. ตำรานรีเวชวิทยา ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  3. http://www.cancer.gov/ access date 1st October, 2004.