เนวฟินนาเวียร์ (Nelfinavir)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือยาอะไร?

เนวฟินนาเวียร์ (Nelfinavir) คือ ยาต้านเอชไอวี (Antiretroviral) กลไกของ ยาเนวฟินนาเวียร์จะออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเชื้อไวรัสเอชไอวีด้วยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์โปรติเอส (Protease enzyme) ของเชื้อเอชไอวี ซึ่งเอนไซม์โปรติเอสดังกล่าวนี้เป็นตัวตั้งต้นของโปรตีนชนิดหนึ่งของเชื้อไวรัสเอชไอวี (มีชื่อว่า Gag-pol polyprotein) ที่ส่งผลต่อการเพิ่มจำนวนเชื้อไวรัสเอชไอวี ส่งผลทำให้เชื้อไวรัสเอชไอวีไม่สามารถเพิ่มจำนวนหรือที่เรียกว่า Viral load ในร่างกายได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสเอชไอวีจะมีสภาพที่ไม่สมบูรณ์ (Immature virion) จึงอยู่ในสภาวะที่ไม่พร้อมต่อการเพิ่มจำนวน ดังนั้นเมื่อยานี้เข้าสู่ร่างกายจึงส่งผลทำให้เชื้อเอชไอวีไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้

สำหรับข้อควรระวังในการใช้ยาเนวฟินนาเวียร์ซึ่งเป็นยาต้านเอชไอวีกลุ่มโปรติเอสอินฮิบิเตอร์ (Protease Inhibitor หรือ ยาต้านไวรัสพีไอ/ PI ) คือ การเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา (Drug interaction) ซึ่งหมาย ถึง เมื่อใช้ยาในกลุ่มโปรติเอสอินฮิบิเตอร์นี้ต้องระมัดระวังการใช้ยาชนิดอื่นร่วมด้วย เนื่องจากยาที่นำ มาใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสกลุ่มนี้อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อกันกับยาต้านไวรัสเอชไอวีที่กำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลทำให้ระดับยาต้านไวรัสที่ใช้อยู่ก่อน หรือยาอื่นที่นำมาใช้ร่วม มีระดับยาในร่างกายเพิ่มสูง ขึ้นหรือลดลงได้ ดังนั้นจึงควรตรวจสอบรายการยาที่ผู้ป่วยได้รับเสมอว่ามีปัญหาดังกล่าวนี้หรือไม่ เพราะหากยาที่ได้รับร่วมส่งผลทำให้ระดับยาต้านไวรัสเอชไอวีลดลงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความล้ม เหลวในการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวีได้ หรือหากยาที่ได้รับร่วมส่งผลทำให้ระดับยาต้านไวรัส เอชไอวีเพิ่มสูงขึ้นก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีได้เช่นกัน

ยาเนวฟินนาเวียร์มีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) รักษาโรคอะไร?

เนวฟินนาเวียร์

สรรพคุณรักษา/ข้อบ่งใช้ของยาเนวฟินนาเวียร์: เช่น

  • ใช้สำหรับการรักษาการติดเชื้อเอชไอวีในผู้ใหญ่ในเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไปโดยใช้ร่วมกับยาต้านไวรัสเอชไอวีชนิดอื่นๆอีก 2 ชนิด เช่นยา ซิโดวูดีน (Zidovudine), ลามิวูดีน (Lamivudine)

ยาเนวฟินนาเวียร์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?

ยาเนวฟินนาเวียร์จัดเป็นยาต้านรีโทรไวรัส (Antiretroviral agent) กลุ่มยับยั้งการทำงานของ เอนไซม์โปรติเอส (Protease Inhibitor) โดยเมื่อยาเข้าสู่ร่างกาย ตัวยาจะยับยั้งการทำงานของเอน ไซม์โปรติเอส (Protease enzyme) ซึ่งเอนไซม์ดังกล่าวเป็นตัวตั้งต้นของโปรตีนชนิดหนึ่ง (มีชื่อว่า Gag-pol polyprotein) โดยโปรตีนที่กล่าวนี้จะส่งผลทำให้การสร้างเชื้อเอชไอวีเป็นไปตามปกติ ดัง นั้นหากเนวฟินนาเวียร์เข้าสู่ร่างกายจะส่งผลยับยั้งเอนไซม์โปรติเอสของเชื้อไวรัส ทำให้การสร้างส่วนประกอบโปรตีนของไวรัสเอชไอวีไม่สมบูรณ์ (Immature virion) ผลต่อมาคือเชื้อไวรัสเอชไอวีไม่สามารถสร้างเชื้อไวรัสฯเพิ่มได้เพราะมีโครงสร้างหรือส่วนประกอบที่ยังเจริญไม่เต็มที่ จึงทำให้ปริมาณเชื้อเอชไอวีในร่างกายลดน้อยลง

ยาเนวฟินนาเวียร์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?

ยาเนวฟินนาเวียร์มีรูปแบบเภสัชภัณฑ์จัดจำหน่าย:

  • ยาผง (Powder) โดยขนาดยาคือ ยาผง 1 กรัมจะมีตัวยาเนวฟินนาเวียร์ 50 มิลลิกรัม และ
  • ยาเม็ดเคลือบฟิล์ม (Film-coated tablet) มี 2 ขนาดคือ 250 และ 625 มิลลิกรัมต่อเม็ด

ยาเนวฟินนาเวียร์มีขนาดรับประทานหรือวิธีใช้ยาอย่างไร?

ยาเนวฟินนาเวียร์มีขนาดรับประทาน เช่น

ก. ขนาดยาและการปรับขนาดยาสำหรับเด็ก(นิยามคำว่าเด็ก):

1. ขนาดยาสำหรับการรักษาการติดเชื้อเอชไอวี: เช่น

  • เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี: เช่น ยาไม่ได้รับการรับรองให้ใช้ในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีเนื่องจากยังไม่มีข้อมูลขนาดยาที่เหมาะสมและไม่มีข้อมูลความปลอดภัย
  • เด็กอายุ 2 - 13 ปี: เช่น ใช้ยา 45 - 55 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมรับประทานวันละ 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมงหลังอาหาร หรือ 25 - 35 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักคัว 1 กิโลกรัมรับประทานวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร โดยมีขนาดยาสูงสุดต่อวันคือ 2,500 มิลลิกรัม
  • เด็กอายุ 13 ปีขึ้นไป: เช่น ใช้ยา 1,250 มิลลิกรัมรับประทานวันละ 2 ครั้งห่างกัน 12 ชั่วโมงหลัง อาหาร หรือ 750 มิลลิกรัมรับประทานวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร

2. ขนาดยาในผู้ป่วยเด็กไตบกพร่อง: ยังไม่มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย จึงไม่มีขนาดยาที่แนะนำในผู้ป่วยเด็กที่มีการทำงานของไตบกพร่อง

3. ขนาดยาในผู้ป่วยเด็กตับบกพร่อง: ไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยาในผู้ป่วยเด็กที่มีการทำงานของตับบกพร่องระดับน้อยหมายถึง แพทย์ประเมินแล้วอยู่ในระดับการทำงานที่เรียกว่า Child-Pugh A และไม่ควรใช้ยานี้หากการทำงานของตับบกพร่องระดับปานกลางถึงรุนแรงหมายถึง แพทย์ประ เมินแล้วการทำงานของตับอยู่ในระดับ Child-Pugh B หรือ C

ข. ขนาดยาและการปรับขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่:เช่น

1.ขนาดยาสำหรับการรักษาการติดเชื้อเอชไอวี:เช่น ใช้ยา 1,250 มิลลิกรัมรับประทานวันละ 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมงหลังอาหาร หรือ 750 มิลลิกรัมรับประทานวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร

2. ขนาดยาในผู้ป่วยผู้ใหญ่ไตบกพร่อง: ยังไม่มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย จึงไม่มีขนาดยาที่แนะนำในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีการทำงานของไตบกพร่อง

3. ขนาดยาในผู้ป่วยผู้ใหญ่ตับบกพร่อง: ไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยาในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีการทำ งานของตับบกพร่องระดับน้อยหมายถึง แพทย์ประเมินแล้วการทำงานของตับอยู่ในระดับ Child-Pugh A (Child-Pugh score เป็นวิธีประเมินค่าการทำงานของตับแบ่งเป็น 3 ระดับ/Score จากบก พร่องต่ำ = A, ปานกลาง = B และบกพร่องรุนแรง = C, ทั้งนี้ Child-Pugh เป็นชื่อแพทย์ชาวอเมริกัน 2 คนที่ร่วมกันคิดวิธีประเมินนี้โดยใช้ค่าต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของตับมาประเมินร่วมกันเช่น เอนไซม์ตับ การมีน้ำในช่องท้อง อาการของผู้ป่วย ฯลฯ) และไม่ควรใช้ยานี้หากการทำ งานของตับบกพร่องระดับปานกลางถึงรุนแรงหมายถึง แพทย์ประเมินแล้วการทำงานของตับอยู่ในระดับ Child-Pugh B หรือ C

ค. วิธีการรับประทานยาเนวฟินนาเวียร์ชนิดผง: ตวงผงยาให้ได้ขนาดยาตามที่แพทย์สั่งด้วยช้อนตวงยาที่ให้มาพร้อมกับตัวผงยา จากนั้นเทผงยาที่ตวงได้ตามขนาดยาที่ถูกต้องแล้วลงภาชนะอื่นๆ (เช่น แก้วน้ำ) ละลายผงยาด้วยน้ำดื่มที่อุณหภูมิห้องในปริมาณที่พอให้ผงยาละลาย หลังจากนั้นรับประทานยาที่ละลายเป็นเนื้อเดียวกันแล้วทันที ตรวจสอบให้มั่นใจว่ารับประทานยาจนหมด ไม่มีผงยาตกค้างอยู่ในภาชนะ อาจทำการเติมน้ำในภาชนะที่ละลายผงยาแล้วรับประทานอีกครั้ง หากยังไม่รับประทานยาให้เก็บยาในภาชนะปิดสนิทแล้วเก็บเข้าตู้เย็น (ยายังคงมีอายุต่อได้อีก 6 ชั่วโมงหลังการละลายยา หากเกินระยะเวลาดังกล่าวแล้วให้ทิ้งยา และห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น) การละลายผงยานั้นนอกจากจะละลายผงยาด้วยน้ำดื่มที่อุณหภูมิห้องแล้ว ยังสามารถละลายผงยาได้ด้วยนมวัว นมถั่วเหลือง นมที่เป็นอาหารทางการแพทย์ แต่ไม่แนะนำให้ผสมผงยาในน้ำเครื่องดื่มที่มีกรด ด่างผสมอยู่เช่น น้ำส้ม น้ำผลไม้ นมเปรี้ยว น้ำโซดา

ง. กรณีที่สูตรยาต้านเชื้อเอชไอวีมียาไดดาโนซีน (Didanosine) ในสูตรร่วมกับยาเนวฟินนา เวียร์: ให้รับประทานยาเนวฟินนาเวียร์ก่อนรับประทานยาไดดาโนซีนประมาณ 1 ชั่วโมง หรือรับประ ทานยาเนวฟินนาเวียร์หลังรับประทานยาไดดาโนซีนไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง เนื่องจากยาไดดาโนซีนสามารถถูกทำลายได้อย่างรวดเร็วในสภาวะกรด (เช่น สภาวะกรดในกระเพาะอาหาร) ในเม็ดยาไดดาโนซีนจะมีสารบัฟเฟอร์ซึ่งเป็นสารที่ช่วยปรับสภาวะกรดในกระเพาะอาหาร จึงสามารถช่วยลดการทำลายยาในกระเพาะอาหารที่สภาวะกรดได้ ในขณะที่ยาเนวฟินนาเวียร์อาจต้องการกรดในการช่วยดูดซึมยา

*****หมายเหตุ:ขนาดยา และระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ผู้รักษาได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษา แพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมทั้งยาเนวฟินนาเวียร์ ผู้ป่วยควรแจ้ง แพทย์ พยาบาล และเภสัชกร เช่น

  • ประวัติแพ้ยา/แพ้อาหาร/แพ้สารเคมีทุกชนิด
  • มีโรคประจำตัวต่างๆรวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาเนวฟินนาเวียร์อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรือเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อนแล้ว
  • เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย หากเจ็บป่วยเล็กน้อยและต้องการซื้อยาเพื่อบรรเทาอาการด้วยตัวเอง ควรแจ้งเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนทุกครั้งว่าท่านกำลังรับประทานยาเนวฟินนาเวียร์อยู่ เนื่องจากยาเนวฟินนาเวียร์สามารถเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาชนิดอื่นๆได้หลายชนิด จำเป็นต้องตรวจสอบปฏิกิริยาระหว่างยาก่อนใช้ยาชนิดอื่นๆร่วม
  • หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์/มีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร เนื่องจากยังไม่มีผลการศึกษาที่แน่ชัดสำหรับความปลอดภัยในการใช้ยาเนวฟินนาเวียร์ในหญิงตั้งครรภ์และการผ่านของยาทางน้ำนม จึงพิจารณาใช้ยาเนวฟินนาเวียร์ในหญิงที่กำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตรเฉพาะกรณีแพทย์ ผู้รักษาพิจารณาประโยชน์มีมากกว่าความเสี่ยงเท่านั้น อย่างไรก็ตามเพื่อหลีกเลี่ยงการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก ไม่แนะนำให้หญิงที่กำลังได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีอยู่ให้นมแก่บุตร
  • แจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากช่วงที่ผ่านมาลืมกินยา/ไม่ได้รับยานี้หรือมีเหตุทำให้ไม่สามารถรับประทานยานี้ได้อย่างสม่ำเสมอทุกวันได้ เนื่องจากยาเนวฟินนาเวียร์เป็นยาจำเป็นที่ต้องรับประทานอย่างสม่ำเสมอและตรงเวลาอย่างเคร่งครัดทุกวัน

หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?

แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยาเนวฟินนาเวียน์ให้ตรงเวลาทุกวัน อาจรับประทานหลังอาหาร วันละ 2 - 3 ครั้งขึ้นกับคำแนะนำของแพทย์ผู้รักษา

กรณีลืมรับประทานยาและมีวิธีการรับประทานยาวันละ 2 - 3 ครั้งต่อวันให้รับประทานยาทัน ทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้กับเวลาที่ต้องรับประทานยามื้อถัดไป (เกินกว่าครึ่งหนึ่งของระยะห่างระ หว่างมื้อ) ให้รอรับประทานยามื้อถัดไปเลยโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่าเช่น ปกติรับประทานยาวันละ 3 ครั้งเวลา 8.00 น., 13.00 น. และ 20.00 น. หากผู้ป่วยนึกขึ้นได้ว่าลืมรับประทานยามื้อ 8.00 น. ตอนเวลา 10.00 น. ก็ให้รับประทานยามื้อ 8.00 น. ทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากนึกขึ้นได้ใน ช่วงที่ใกล้กับช่วงเวลาของยามื้อถัดไป (หมายถึงเกินกว่าครึ่งหนึ่งของช่วงห่างจากเวลารับประทานยาปกติถึงมื้อถัดไป) เช่น นึกขึ้นได้ว่าลืมรับประทานยามื้อ 8.00 น. ตอนเวลา 11.30 น. ให้รอรับ ประทานยามื้อถัดไปคือ เวลา 13.00 น. ในขนาดยาปกติโดยไม่ต้องนำยามื้อที่ลืมรับประทานมารับ ประทานเพิ่ม

อย่างไรก็ตาม การรับประทานยาต้านไวรัสที่ไม่สม่ำเสมอจะทำให้ระดับยาในเลือดอยู่ในระดับ สูงบ้างต่ำบ้าง ซึ่งช่วงที่ระดับยามีขนาดต่ำเสมือนเป็นการกระตุ้นให้เชื้อไวรัสเกิดการกลายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุของการดื้อยาในเวลาต่อมา

ยาเนวฟินนาเวียร์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?

ผล/อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา(ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง) ของยาเนวฟินนาเวียร์ที่พบได้บ่อย เช่น ท้องเสีย(Diarrhea) โดยมีข้อแนะนำว่า สามารถใช้ยาโลเพอราไมด์ (Loperamide) 2 มิลลิกรัม/แคปซูล) ที่มีข้อบ่งใช้สำหรับรักษาอาการท้องร่วงเฉียบพลัน (Acute diarrhea) เพื่อบรรเทาอาการไม่พึงประสงค์จากยาที่เกิดขึ้นได้ โดยขนาดยาโลเพอราไมด์คือ ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 4 มิลลิกรัมครั้งแรก จากนั้นรับประทานครั้งละ 2 มิลลิกรัมทุกๆ 6 ชั่วโมงหรือเมื่อมีถ่ายเหลว วันละไม่เกิน 16 มิลลิกรัม และควรปรึกษาแพทย์กรณีที่มีอาการท้องเสียรุนแรง

อาการไม่พึงประสงค์ฯอื่นๆ เช่น อาการคลื่นไส้, อาการท้องอืด แน่นท้องเหมือนมีลมในกระ เพาะอาหาร, ผื่นคัน, อาการอ่อนล้า

นอกจากนี้ ยังอาจพบความผิดปกติในการกระจายตัวของมวลไขมันสะสมในร่างกาย โดยอาจมีภาวะไขมันฝ่อตัว/อวัยวะนั้นๆลีบลงเพราะไม่มีไขมันสะสม (Lipoatrophy) มักพบไขมันฝ่อตัวบริเวณใบหน้า, แขน, ขา หรือก้น และอาจพบไขมันพอกตัวผิดปกติโดยมักพบก้อนไขมันพอกที่คอด้านหลัง (Buffalo hump) เส้นรอบวงของคอขยายขึ้นประมาณ 5 - 10 ซม., เต้านมขยายใหญ่ขึ้น, ไขมันสะสมตามอวัยวะภายในช่องท้องมากขึ้นทำให้มีพุง ในผู้ป่วยบางรายสามารถเกิดทั้งภาวะไขมันฝ่อตัวและไขมันพอกตัวผิดปกติได้พร้อมๆกัน

สำหรับอาการไม่พึงประสงค์ฯที่รุนแรงคือ พบรายงานการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) หรือเกิดโรคเบาหวาน (Diabetes) ขึ้นได้ในผู้ป่วยที่ได้รับยานี้ (ทางการแพทย์เรียกว่า New onset diabetes) ซึ่งผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับยารักษาเบาหวานเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดร่วมด้วย, และรายงานการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด QT prolongation จนอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น (ทางการแพทย์เรียกภาวะดังกล่าวนี้ว่า Tosades de pointes), และควรระมัดระวังการใช้ยากลุ่มโปรติเอสอินฮิบิเตอร์/ยาต้านไวรัสพีไอ(Protease inhibitor)ที่รวมถึงยาเนวฟินนาเวียร์ ในเรื่องการมีเลือดออกในอวัยวะต่างๆเพราะมีรายงานเกิดเลือดออกเพิ่มมากขึ้นขณะใช้ยานี้ในผู้ ป่วยโรคฮีโมฟิเลีย

มีข้อควรระวังการใช้ยาเนวฟินนาเวียร์อย่างไร?

มีข้อควรระวังการใช้ยาเนวฟินนาเวียร์ เช่น

  • ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้หรือแพ้ส่วนประกอบของยานี้
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาเนวฟินนาเวียร์คู่กับยาดังต่อไปนี้ที่อาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยารุนแรงได้ เช่นยา อาฟูโซซิน (Alfuzosin: ยารักษาโรคต่อมลูกหมากโต), อะมิโอดาโลน (Amiodarone: ยารักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะ), ควินิดีน (Quinidine: ยารักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะ), ฟูซิดิกเอซิด (Fusidic acid: ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย), โวลิโคนาโซล (Voriconazole: ยาต้านเชื้อรา), แอสทิมีโซล (Astemizole: ยาแก้แพ้), เทอร์ฟีนีดีน (Terfenadine: ยาแก้แพ้), โบรนาซีลีน (Blonaserin: ยารักษาโรคจิต), Ergot derivetives (ยาที่มีส่วนผสมของสาร Ergot เช่น Erogatamine/เออโกตามีน: ยารักษาไมเกรน, Ergonovine/เออร์โกโนวีน: ยาบีบมดลูก, Methylergonovine/เมททิวเออร์โกโนวีน: ยาบีบมดลูก), ซิสซาพาย (Cisapide: ยากระตุ้นการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและลำไส้), สมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ธ (St. John's wort: สมุนไพรคลายเครียด), โลวาสสะตาติน (Lovastatin: ยาลดไขมัน), ซิมวาสสะตาติน (Simvastatin: ยาลดไขมัน), อะทอวาสสะตาติน (Atorvastatin: ยาลดไขมัน), โลซูวาสสะตาติน (Rosuvastatin: ยาลดไขมัน), เซาเมทารอล (Salmeterol: ยาขยายหลอดลม), พิโมซายด์ (Pimozide: ยาต้านโรคจิต), ซิเดนาฟิว (Sidenafil: ยารักษาภาวะความดันหลอดเลือดปอดสูง/Pulmonary Hypertension และยารักษาภาวะองคชาติไม่แข็งตัว/นกเขาไม่ขัน/Erectile dysfunction), ทาดาลาฟิว (Tadalafil: ยารักษาภาวะความดันหลอดเลือดปอดสูงและยารักษาภาวะองคชาติไม่แข็งตัว), โบเซนแทน (Bosentan: ยารักษาภาวะความดันหลอดเลือดปอดสูง), ไมด้าโซแลม (Midazolam: ยาระงับประสาท/ยานอนหลับ), ไตรอะโซแลม (Triazolam: ยาระงับประสาท/ยานอนหลับ), วาฟาร์ริน (Warfarin: ยาต้านการแข็งตัวของเลือด), โคชิซิน (Colchicine: ยาลดระดับกรดยูริคในเลือด/ยาโรคเกาต์)
  • ทุกครั้งที่มีการใช้ยาเนวฟินนาเวียร์คู่กับยาชนิดอื่นๆควรตรวจสอบปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆเพี่อความปลอดภัยของผู้ป่วย หรือหากจำเป็นต้องใช้ยาที่มีปฏิกิริยาระหว่างยาร่วมกันแพทย์อาจพิจารณายาทางเลือกอื่นที่มีโอกาสในการเกิดปฏิกิริยาฯน้อย
  • หากผู้ป่วยกำลังรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดและรับประทานยาเนวฟินนาเวียร์ร่วมด้วย ควรพิจารณาป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยวิธีอื่นๆร่วมเช่น การใช้ถุงยางอนามัยชาย เนื่องจากยาเนวฟินนาเวียร์อาจลดประสิทธิภาพการคุมกำเนิดของยาเม็ดคุมกำเนิดได้
  • ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
  • ห้ามใช้ยาหมดอายุ
  • ห้ามเก็บยาหมดอายุ

***** อนึ่ง: ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาเนวฟินนาเวียร์ด้วย) ยาแผนโบราณ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิดควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน

ยาเนวฟินนาเวียร์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?

ยาเนวฟินนาเวียร์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น

1. หลีกเลี่ยงการใช้ยาเนวฟินนาเวียร์คู่กับยาต่างๆที่กล่าวไว้ใน ‘หัวข้อ มีข้อควรระวังการใช้ยาเนวฟินนาเวียร์ (Nelfinavir) อย่างไร?’ เนื่องจากหากใช้ยาเนวฟินนาเวียร์ร่วมกับรายการยาที่กล่าวมานั้นอาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยารุนแรงได้

2.เมื่อใช้ยาเนวฟินนาเวียร์คู่กับยาดังต่อไปนี้ซึ่งคาดว่าสามารถเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ทำลายยาที่มีชื่อว่า CYP3A4 (Cytochrome P450 3A4) ได้เช่น ฟีโนบาร์บีทาล (Phenobarbital: ยากันชักยาต้านชัก), คาร์บามาซีปิน (Carbamazepine: ยากันชัก), ฟีนีทอย (Phenytoin:ยากันชัก ), ไรแฟมปินซิน (Rifampicin: ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย, ยาวัณโรค), ไรฟามบูติน (Rifambutin: ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย, ยาวัณโรค) ดังนั้นหากใช้ยาเหล่านี้ที่กล่าวมาคู่กับยาเนวฟินนาเวียร์อาจทำให้ระดับยาเนวฟินนาเวียร์ลดลงซึ่งมีผลทำให้ระดับยาในการต้านเชื้อเอชไอวีลดลง ประสิทธิภาพของยาเนวฟินนาเวียร์จึงลดลงตามไปด้วยเช่นกัน

3.หากมีการใช้ยาเนวฟินนาเวียร์ร่วมกับยากลุ่มโปรติเอส อินฮิบิเตอร์ (Protease inhibitors, PIs) อื่นๆเช่น อะทาซานาเวียร์ (Atazanavir), ดารุนาเวียร (Darunavir), ฟอสแอมพรีนาเวียร์(Fosamprenavir), อินดินาเวียร์ (Indinavir), ซาควินาเวียร์ (Saquinavir), ทิพล่านาเวียร์ (Tipra navir) แพทย์จะปรับขนาดยาแต่ละตัวโดยใช้ข้อมูลการศึกษาปฏิกิริยาระหว่างยากับยาในการปรับขนาดยาแต่ละตัว เพื่อให้ผู้ป่วยแต่ละคนได้รับขนาดยาที่ถูกต้องเหมาะสมเพียงพอต่อการรักษา

4.นอกจากนี้ยังมียาอีกหลายชนิดที่อาจจะทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างยาได้เมื่อใช้คู่กับยาเนวฟินนาเวียน์ แพทย์และเภสัชกรจะตรวจสอบคู่มือยาที่ได้รับร่วมกันหากกำลังใช้ยาเนวฟินนาเวียร์ โดยจะพยายามหลีกเลี่ยงคู่ยาที่อาจเกิดปฏิกิริยาได้อย่างรุนแรง

ควรเก็บรักษายาเนวฟินนาเวียร์อย่างไร?

การเก็บรักษายาเนวฟินนาเวียร์ทั้งรูปแบบเภสัชภัณฑ์ที่เป็นยาผงและยาเม็ด: เช่น

  • แนะนำเก็บยาเนวฟินนาเวียร์ ณ อุณหภูมิห้อง
  • เก็บยาให้พ้นจากแสงแดดและแสงสว่างที่กระทบยาได้โดยตรง
  • หลีกเลี่ยงการนำยาสัมผัสกับความร้อนที่มาก เช่น เก็บยาในรถที่ตากแดดหรือเก็บยาในห้องที่มีอุณหภูมิสูง (มีแสงแดดส่องถึงทั้งวันหรือเป็นเวลานาน)
  • ไม่เก็บยาในห้องที่ชื้นเช่น ห้องน้ำหรือห้องครัว
  • โดยควรเก็บยาในภาชนะบรรจุเดิม
  • เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

ยาเนวฟินนาเวียร์มีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?

ยาเนวฟินนาเวียร์ มียาชื่อการค้าอื่น และบริษัทผู้ผลิต เช่น

ชื่อการค้าบริษัทผู้ผลิต
Viracept Tablet 250, 625 mg Roche
Viracept Oral powder 50 mg/g Roche

บรรณานุกรม

  1. Lacy CF. Amstrong LL, Goldman MP, Lance LL. Drug Information handbook. 20th ed. Ohio: Lexi-Comp,Inc.; 2011-12.
  2. Micromedex Healthcare Series, Thomson Micromedex, Greenwood Village, Colorado
  3. Product Information: Viracept, Nelfinavir, Roche, USA.