วิตามินอี (Vitamin E or Alpha-tocopherol)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือยาอะไร?

 ยาวิตามินอี (Vitanin E) หรืออีกชื่อคือ ยาแอลฟา-โทโคเฟอรอล (Alpha-tocopherol) เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายด้วยมีคุณสมบัติและหน้าที่สำคัญๆ เช่น

  • ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระโดยจะเข้าทำปฏิกิริยาเคมีกับอนุมูลอิสระต่างๆจนกระทั่งไม่สามารถแสดงฤทธิ์ที่มีผลกระทบต่อร่างกาย
  • ช่วยควบคุมการทำงานของเอนไซม์ต่างๆในร่างกายมนุษย์
  • วิตามินอีจะเป็นปัจจัยหรือองค์ประกอบในการควบคุมการแสดงออกของสารพันธุกรรม หรือยีน/จีน/Gene
  • เป็นองค์ประกอบในการทำงานของระบบประสาท
  • ช่วยยับยั้งการรวมตัวของเกล็ดเลือดจึงช่วยลดการเกิดลิ่มเลือด

นอกจากนั้นยังมีหน้าที่อื่นๆในร่างกายที่ต้องอาศัยวิตามินอีมาเป็นปัจจัยสนับสนุนในการทำ งาน ซึ่งหากร่างกายขาดวิตามินอีอาจจะแสดงออกมาดังอาการต่างๆต่อไปนี้ เช่น

  • เป็นโรคเซลล์ประสาทและระบบสั่งงานเสื่อม (Spinocerebellar ataxia) โรคนี้สามารถ ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ โดยเกิดการฝ่อของสมองส่วน Cerebellum และมีอาการเดินเซด้วยกล้ามเนื้อสูญเสียการประสานงานกัน
  • เกิดความผิดปกติของเซลล์กล้ามเนื้อ (Myopathy)
  • เกิดอาการโรคเส้นประสาท (Peripheral neuropathy)
  • เกิดภาวะจอตาอักเสบ (Retinopathy)
  • มีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (Red blood cell destruction)
  • การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง (Impairment of immune response)

 สำหรับในทางคลินิกวิตามินอีจะถูกใช้เพื่อป้องกันและซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เกิดการเสื่อม สภาพหรือถูกทำลายด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น จากการฉายรังสีรักษา บางกรณียังมีการนำวิตามินอีมา ร่วมรักษาโรคมะเร็งอีกด้วย

ก่อนการเลือกใช้วิตามินอี แพทย์จะตรวจสอบและคัดกรองผู้ป่วยโดยใช้ประวัติทางการ แพทย์ของผู้ป่วยมาร่วมในการพิจารณาก่อนการจ่ายวิตามินอีให้กับผู้ป่วย เช่น

  • ผู้ป่วยมีประวัติเม็ดเลือดแดงต่ำหรือไม่
  • เป็น โรคตับ โรคไต หรือไม่
  • เคยมีอาการแพ้ยาใดๆมาก่อนหรือไม่
  • มีประวัติป่วยด้วยโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดทางสมองแตก (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor. com บทความเรื่อง โรคหลอดเลือดสมองชนิดขาดเลือดและชนิดเลือดออก) หรือมีปัญหาเรื่องการเกาะตัวของเกล็ดเลือด/การเกิดลิ่มเลือดหรือไม่
  • กรณีที่ผู้ป่วยมีแผนต้องเข้ารับการผ่าตัด แพทย์จะหลีกเลี่ยงการใช้ยาวิตามินอีกับผู้ป่วย

 อนึ่งกรณีที่ผู้ป่วยไม่มีประวัติที่จะก่อให้เกิดปัญหาหลังใช้วิตามินอี ผู้ป่วยก็ยังต้องปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์เภสัชกรในการใช้ยาวิตามินอีอย่างเคร่งครัด เช่น

  • ไม่ปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง และ
  • ไม่ใช้ยานี้เกินกว่าที่แพทย์กำหนด
  • อีกทั้งต้องรับประทานวิตามินอีพร้อมอาหาร ด้วยวิตามินอีสามารถละลายได้ดีในไขมัน การรับประทานร่วมกับอาหารจะช่วยทำให้วิตามินนี้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดียิ่งขึ้น

ในประเทศไทยโดยคณะกรรมการอาหารและยาได้ระบุให้วิตามินอีอยู่ในบัญชียาหลักแห่ง ชาติและอยู่ในหมวดของยาอันตราย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย/ผู้บริโภคจึงควรใช้ยาตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น

วิตามินอีมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ)รักษาโรคอะไร?

วิตามินอี

ยาวิตามินอีมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้เพื่อ:

  • ป้องกันและบำบัดรักษาอาการจากภาวะขาดวิตามินอีของร่างกาย
  • บำบัดอาการความจำเสื่อมชนิดที่เรียกว่า Alzheimer

วิตามินอีมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?

กลไกการออกฤทธิ์ของยาวิตามินอีคือ ตัวยาจะออกฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระที่คอยทำให้เซลล์/เนื้อเยื่อของร่างกายเกิดความเสียหาย นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านไขมันอิ่มตัวในเลือดที่มักจะมาเกาะตามผนังหลอดเลือดจนเกิดภาวะอักเสบและอุดตันของหลอดเลือด จากกลไกดังกล่าวส่ง ผลให้เกิดฤทธิ์ของการรักษาตามสรรพคุณ

วิตามินอีมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?

ยาวิตามินอีมีรูปแบบการจัดจำหน่าย:

  • ยาน้ำชนิดรับประทาน ขนาด 50 ยูนิต/มิลลิลิตร
  • ยาแคปซูลนิ่มชนิดรับประทาน ขนาด 400 และ 525 ยูนิต/แคปซูล
  • เป็นส่วนผสมของกลุ่มยาวิตามินรวมชนิดฉีด
  • เป็นส่วนผสมในนมผงดัดแปลงสำหรับเลี้ยงทารก

วิตามินอีมีขนาดรับประทานอย่างไร?

ยาวิตามินอีมีขนาดรับประทาน เช่น

 ก.สำหรับอาการจากภาวะขาดวิตามินอี: เช่น

  • ผู้ใหญ่: รับประทาน 60 - 75 ยูนิตหลังอาหาร
  • เด็ก (นิยามคำว่าเด็ก): รับประทาน 1 ยูนิต/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วันหลังอาหาร

ข.สำหรับบำบัดอาการอัลไซเมอร์: เช่น

  • ผู้ใหญ่: รับประทาน 1,000 ยูนิตวันละ 2 ครั้งหลังอาหาร
  • เด็ก: อัลไซเมอร์เป็นโรคในผู้สูงอายุจึงไม่มีการกำหนดขนาดรับประทานยานี้ในเด็ก

*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมถึงยาวิตามินอี ผู้ป่วยควรแจ้ง แพทย์ พยาบาล และ เภสัชกร เช่น

  • ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก/หอบเหนื่อย
  • มีโรคประจำตัวต่างๆ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาหรืออาหารเสริมอะไรอยู่ เพราะยาวิตามินอี อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆและ/หรือกับอาหารเสริมที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
  • หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์/มีครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้

หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?

 หากลืมรับประทานยาวิตามินอี สามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า

อย่างไรก็ตามเพื่อประสิทธิผลของการรักษาควรรับประทานยาวิตามินอีให้ตรงเวลา

วิตามินอีมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?

 สำหรับยาวิตามินอี สามารถก่อให้เกิดผล/ อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง)  เช่น  

  • ตาพร่า
  • ท้องเสีย
  • วิงเวียน
  • ปวดหัว
  • คลื่นไส้
  • เป็นตะคริวที่หน้าท้อง
  • อาจมีอาการอ่อนเพลีย

มีข้อควรระวังการใช้วิตามินอีอย่างไร?

มีข้อควรระวังการใช้ยาวิตามินอี เช่น

  • ห้ามใช้กับผู้แพ้ยานี้
  • ห้ามใช้ยานี้กับสตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร และเด็ก โดยไม่ได้มีคำสั่งจากแพทย์
  • ห้ามปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง
  • ควรรับประทานยานี้พร้อมอาหารจะช่วยให้มีการดูดซึมยานี้ได้ดีขึ้น
  • ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
  • ห้ามใช้ยาหมดอายุ
  • ห้ามเก็บยาหมดอายุ         

***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมวิตามินอีด้วย) ยาแผนโบราณ   อาหารเสริม   ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด ) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน

วิตามินอีมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?

ยาวิตามินอีมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น  เช่น

  • การใช้วิตามินอี ร่วมกับยา Tipranavir อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกง่าย หากไม่มีความจำเป็นใดๆควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานวิตามินอี ร่วมกับยาที่มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ ด้วยวิตามินอีจะรบกวนการดูดซึมของธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกาย
  • การรับประทานวิตามินอี ร่วมกับยา Aspirin อาจทำให้ได้รับผลข้างเคียงของยา Aspirin หรือมีภาวะเลือดออกง่ายติดตามมา หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกันแพทย์จะปรับขนาดรับประทานให้เหมาะสมเป็นกรณีไป

ควรเก็บรักษาวิตามินอีอย่างไร

 ควรเก็บยาวิตามินอี:

  • เก็บยาในช่วงอุณหภูมิห้องที่เย็น
  • ไม่เก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น
  • เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสง/แสงแดด ความร้อน และความชื้น
  • เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
  • ไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือในรถยนต์

วิตามินอีมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?

ยาวิตามินอี  มียาชื่อการค้าอื่น และบริษัทผู้ผลิต เช่น

ชื่อการค้า บริษัทผู้ผลิต
Bio-E-Vitamin (ไบโอ-อี-วิตามิน) Pharma Nord SEA
Philvita E (ฟิลไวตา อี) Phil Inter Pharma

 

บรรณานุกรม

  1. https://www.drugs.com/vitamin_e.html   [2022,Jan1]
  2. https://en.wikipedia.org/wiki/Vitamin_E   [2022,Jan1]
  3. https://www.mims.com/Thailand/drug/info/Bio-E-Vitamin/?type=BRIEF   [2022,Jan1]
  4. https://www.mims.com/Thailand/drug/info/Philvita%20E/?type=BRIEF  [2022,Jan1]
  5. https://www.drugs.com/sfx/vitamin-e-side-effects.html  [2022,Jan1]
  6. https://www.drugs.com/drug-interactions/vitamin-e-index.html?filter=3&generic_only=  [2022,Jan1]