วิตามินรวมไม่อาจลดความเสี่ยงโรคหัวใจ (ตอนที่ 2 และตอนจบ)

นพ.โฮเวิร์ด เซสโซ (Dr. Howard Sesso) จากโรงพยาบาลบริกแฮมแอนด์วีเมน (Brigham and Women's Hospital) ที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า เหตุผลหลักที่ผู้คนกินอาหารเสริมวิตามินก็เพื่อป้องกันการขาดวิตามินและเกลือแร่ แต่มันไม่มีเหตุผลที่จะแนะนำให้คนกินอาหารเสริมวิตามินเพื่อรักษาโรคหัวใจ

การวิจัยนี้ทำในผู้ชายที่อายุ 50 ปีขึ้นไป (อายุเฉลี่ยที่ 64 ปี) จำนวน 15,000 คน โดยครึ่งหนึ่งให้กินอาหารเสริมวิตามินจริง ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งให้กินยาหลอก (Placebo) ทั้งนี้ขณะเริ่มงานวิจัยมีชายที่มีประวัติเป็นโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดตีบจำนวน 754 คน

ผลการวิจัยพบว่า การกินอาหารเสริมวิตามินจริงไม่ได้ก่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างผู้ชายที่มีประวัติโรคหัวใจและผู้ชายที่ไม่มีประวัติแต่อย่างไร และผู้ชายในกลุ่มที่กินอาหารเสริมวิตามินจริงมักจะมีอาการผื่นแพ้ที่ผิวหนังมากกว่าเล็กน้อย นพ.เซสโซ กล่าวว่า อาหารเสริมวิตามินจะไม่มีผลต่อผู้ที่ได้รับสารอาหารครบถ้วนอยู่แล้ว

สำหรับผู้ที่ได้รับสารอาหารไม่ครบ การขาดวิตามินแต่ละอย่างก็อาจก่อให้เกิดผลแตกต่างกันไป เช่น การขาดธาตุเหล็กในเด็กที่กำลังโตอาจทำให้เด็กเป็นโรคโลหิตจาง การขาดโฟลิกแอซิด (Folic acid) ขณะตั้งครรภ์ระยะแรกเพิ่มความเสี่ยงของการที่ทารกมีระบบประสาทพิการได้ และการขาดวิตามินบี 12 ทำให้ระบบประสาทถูกทำลายและมีความบกพร่องในการรับรู้

โดยทั่วไปวิตามินรวมจะมีสูตรแตกต่างกันไปตามความต้องการของผู้บริโภค ทั้งนี้เพราะความต้องการสารอาหารจะแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุ ดังนั้นจึงควรเลือกวิตามินรวมที่สามารถให้สารอาหารได้ครบตามช่วงอายุ เช่น วิตามินรวมสำหรับสตรี เป็นวิตามินอาหารเสริมสำหรับผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ อายุตั้งแต่ 18-50 ปี ซึ่งสารอาหารส่วนใหญ่จะประกอบด้วย ธาตุเหล็ก โฟลิกแอซิด (Folic acid) ที่ช่วยป้องกันการแท้งในผู้หญิงที่เตรียมจะตั้งครรภ์

วิตามินรวมสำหรับผู้ชาย อายุถึง 50 ปี จะประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งมักจะไม่ใช่ธาตุเหล็ก เพราะผู้ชายมีความต้องการธาตุเหล็กน้อย ส่วนวิตามินรวมสำหรับผู้สูงอายุ ออกแบบมาสำหรับผู้ชายและผู้หญิงที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งมีการดูดซึมของสารอาหารบางอย่างที่ช้า เช่น แคลเซียม วิตามินบี 16 วิตามินบี 12 และต้องการวิตามินดีที่เพิ่มขึ้น

การเลือกรูปแบบของวิตามินรวม เช่น แบบเม็ด แบบผง แบบเคี้ยว แบบน้ำ หรือแบบฉีด นั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน เช่น แบบน้ำจะดูดซึมได้ง่ายกว่าแบบเม็ดเคลือบ หรือถ้ามีปัญหาเรื่องการกลืนยาก็อาจใช้แบบน้ำแทน ส่วนเวลาในการกินวิตามินรวม สามารถทำได้ทั้งกรณีกินตอนเช้าหรือก่อนนอน อย่างไรก็ดีการกินวิตามินรวมร่วมกับอาหารจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารที่น้อยลง

Karen Ansel โฆษกของสมาคมโภชนบำบัดอเมริกัน (American Dietetic Association) กล่าวว่า การกินอาหารที่มีประโยชน์ยังคงเป็นแหล่งรวมของวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารที่ดี วิตามินรวมไม่สามารถทดแทนอาหารที่มีประโยชน์ได้ แต่มันสามารถที่จะช่วยเสริมได้ เพราะถ้าคุณไม่สามารถที่จะกินอาหารให้หลากหลายได้พอ คุณก็อาจได้ประโยชน์จากการกินวิตามินรวมวันละครั้ง

ในขณะเดียวกัน นพ. Meir Stampfer อาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ฮาร์วาร์ด กล่าวว่า วิตามินรวมเป็นวิธีการเพิ่มสารอาหารที่ขาด แต่มันเป็นเพียงแค่อาหารเสริม ไม่สามารถทดแทนการกินอาหารที่มีประโยชน์ได้

แหล่งข้อมูล:

  1. How to Choose a Multivitamin. http://www.webmd.com/vitamins-and-supplements/nutrition-vitamins-11/choose-multivitamin [2012, November 18].
  2. Making the Most Out of Multivitamins. http://www.webmd.com/vitamins-and-supplements/lifestyle-guide-11/making-the-most-out-of-multivitamins?page=1 [2012, November 18].
  3. Multivitamin. http://en.wikipedia.org/wiki/Multivitamin [2012, November 18].